Fête des Lumières 2019 – ทำตัวเป็นแมงเม่าบินเข้างานไฟ (ตอนที่ 1)


ถ้าถามคนฝรั่งเศสโดยทั่วไปว่า “วันอะไรสำคัญที่สุดในรอบปี” เราก็คงได้คำตอบว่า “วันชาติ (14 กรกฎาคม)” หรือไม่ก็ “วันคริสต์มาส” แต่สำหรับชาวเมืองลียงแล้ว วันงานเทศกาล Fête des Lumières (แฟต เดส์ ลูมิแยร์) หรือเทศกาลไฟ (จะเรียกว่างานแสงสีเสียงก็คงไม่ผิดนัก) ถือเป็นวันที่สำคัญไม่แพ้กันเลยทีเดียว

ข้อความขอบคุณพระแม่มารีในโบสถ์ Saint-Nizier
งานเทศกาล Fête des Lumières จัดขึ้นในช่วงต้นเดือนธันวาคม ซึ่งวันที่อาจจะแตกต่างกันไปในแต่ละปี แต่จะครอบคลุมวันที่ 8 ธันวาคมด้วยเสมอ กินระยะเวลาประมาณ 3-4  วันโดยประมาณ ว่ากันว่าเทศกาลนี้มีต้นกำเนิดมาจากการจุดเทียนขอบคุณพระแม่มารีในช่วงที่กาฬโรคระบาดหนักในลียงช่วงปีค.ศ. 1643แต่พอเราได้ไปศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมดูแล้ว พบว่ามีเรื่องราวซับซ้อนและเข้าใจผิดกันเยอะมาก แต่เนื่องจากเรื่องมันยาวววววว... ใครที่สนใจอยากลงลึกข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์ก็เชิญศึกษาต่อได้เองที่นี่นะคะ 😅 (คำเตือน: เนื้อหาเป็นภาษาฝรั่งเศสจ้า) 

กลับมาที่เรื่องงาน Fête des Lumières  ดีกว่า ส่วนตัวเราเคยได้ยินเสียงเล่าอ้างของเทศกาลนี้ตั้งแต่ปีแรกที่มาอยู่ฝรั่งเศสแล้ว แต่ไม่เคยได้มีโอกาสไปเห็นด้วยตาตัวเองสักที ปีนี้นับเป็นปีที่ 30 ของการจัดงาน แต่เป็นปีแรกที่เราได้มาใช้ชีวิตอยู่แถวนี้ มีหรือที่แมงเม่าอย่างเราจะยอมพลาดชมไฟสวยๆ (อีกปี) เตรียมตัววางแผนเป็นอย่างดี เพราะได้ยินกิตติศัพท์เรื่องความคับคั่งของปริมาณคนที่เข้ามาเยี่ยมชมงาน ทั้งชาวเมืองลียงเอง แล้วไหนจะนักท่องเที่ยวอีกจำนวนมหาศาล คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญก็คือ “เลี่ยงคืนวันศุกร์และเสาร์” เพราะงั้นเราเลยวางแผนไปเที่ยวงานวันพฤหัสที่ 5 และวันอาทิตย์ที่ 8 ซึ่งเป็นวันฟินาเลของงาน เป็นวันปล่อยของพอดี 

เนื่องจากปีนี้มีงานจัดแสดงถึง 36 แห่ง/ชิ้นงาน ในระยะทางรวมทั้งสิ้นเกือบ 10 กม. เรารู้ดีว่าไม่มีทางได้ชมทุกผลงานแน่ๆ (แถมบางชิ้นงานก็อยู่ค่อนไปทางสนามบินนู่นนนน) จึงต้องพยายามบริหารเวลาดีๆ เก็บเกี่ยวให้ได้มากที่สุด และนับว่าเป็นโชคพาวาสนาส่งที่แม่แฟนเรา Sylvie Colon เป็นหนึ่งในทีมผู้จัดงาน installation บางชิ้น เราเลยมีโอกาสได้ไปชิมลาง แอบชมงานที่เขาจัดแสดงก่อนล่วงหน้าด้วยค่ะ (วันจริงจะได้ไปดูอย่างอื่น อิๆ) งานที่ว่าก็คือ “Lucioles” (ลูซิยอลส์) ซึ่งมีคอนเซปต์เป็นหิ่งห้อย มีไฟหลากสีดวงน้อยๆ ประกอบกันเป็นรัง ห้อยโหนอยู่ตามต้นไม้บ้าง ติดอยู่บนกำแพงท่าเรือฝั่งแม่น้ำ Rhône (โครน) บ้าง) [ดูวิดีโอ] และอีกชิ้นชื่อ Lianes(ลิอานส์) เป็นเถาวัลย์ไฟเลื้อยไต่ตามตึก เสาไฟ และต้นไม้ข้างทางอยู่ในเขตเมืองเก่า ซึ่งเป็นผลงานของศิลปินคนเดียวกัน Erik Barray ศิลปินช่างสานมือวางอันดับต้นๆ ของลียง

“Lucioles” ที่ท่าเรือฝั่งแม่น้ำ Rhône

รัง “Lucioles” บนต้นไม้ในสวนริมแม่น้ำ

“Lucioles” ใต้สะพานสำหรับคนเดินเท้าและจักรยาน

Lianes” เลื้อยไต่ตามตึกทางขึ้นสู่ยอดเขา

Lianes” ระหว่างทางขึ้นไปยัง Fourvière

Lianes” ล้อเคียงกับแสงจันทร์ยามค่ำคืน

ในคืนวันปฐมฤกษ์ หลังจากกินข้าวเย็นเติมพลังพร้อมลุย และสำรวจแผนที่จัดงานคร่าวๆ แล้ว เราก็นั่งเมโทร (รถไฟใต้ดิน) ดิ่งมาลงที่ Place Bellecour (ปลาส แบลกูร์) พอโผล่หัวขึ้นมาพ้นดินเท่านั้นแหละ เราก็สุดจะตะลึงพรึงเพริด (ปีกสั่นพั่บๆ) กับผลงานอันมโหฬารและอลังการที่มีชื่อว่า Prairie éphémère (แพรคริ เอเฟแมร์ จะออกเสียงยากไปไหน - -‘) ซึ่งมีกลุ่มโคมไฟหน้าตาคล้ายฝูงปลาลอยแหวกว่ายอยู่กลางอากาศ เบื้องล่างเป็นต้นหญ้าที่ส่องแสงสับเปลี่ยนสีตามเวลาและจังหวะเพลง (ด้วยมั้ง) [ดูวิดีโอ] ไม่ได้อยากจะสปอยล์นะคะ แต่ต้องขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่าทึ่งกับงานชิ้นนี้ที่สุด เพราะนอกจากความสวยงามที่เราให้ 10/10 แล้ว เรายังอยากให้คะแนนความทุ่มเทของทีมงานแบบ 20/10 ไปเลย เนื่องจากตอนแรกเข้าใจว่าปลาเหล่านี้ลอยอยู่บนอากาศด้วยลมหรือมีเครื่องบังคับอัตโนมัติ แต่พอได้แทรกตัวเตี้ยๆ ของเราฝ่าดงต้นฝรั่งเข้าไปแล้วถึงได้เห็นเบื้องหน้าการผลิตอย่างเต็มรูปแบบ ปลาทุกตัวมีทีมงานที่จะเรียกว่าศิลปินก็คงไม่ผิด คอยเชิด คอยบังคับฝูงปลาดั่งว่าวให้ลอยล่องอย่างพลิ้วไหวพร้อมเต้นประกอบเพลงไปกับมัน ซึ่งอากาศ ณ วันนั้นค่อนข้างหนาวถึงหนาวมาก อุณหภูมิอยู่ที่ 2-4 องศาเซลเซียส ซึ่งทีมงานนักเชิดปลาก็ต้องยืนประจำอยู่ที่จุดแสดงงานตลอดทั้งคืน 4 ชม. นับว่าเป็นโชคดีของทั้งผู้ชมและผู้แสดงวันนั้นที่ไม่มีวี่แววของฝนมาให้เห็นเลย ไม่งั้นเราคงอดสงสารทีมงานไม่ได้จริงๆ ค่ะ

Prairie éphémère” ณ Place Bellecour

บรรดาฝูงปลาพากันแหวกว่ายอยู่เหนือจตุรัส

ทุ่งหญ้าไฟเบื้องล่างดูสมจริงยิ่งขึ้นเมื่อเปลี่ยนเป็นสีเขียว

หนึ่งในทีมงานกำลังชักเชิดปลาให้ลอยล่องไปตามจังหวะดนตรี

ยังไม่พ้นจากลาน Bellecour ดี เราก็เจอแสงแยงตาเบาๆ กับ...จะเรียกว่าอะไรดี...เสานีออนละกัน ที่มีป้ายเดาว่าเป็นผ้าใบ เขียนคำว่า “ยินดีต้อนรับ” ไว้แทบทุกภาษา ยกเว้นภาษาไทย 555 ตอนแรกก็เข้าใจว่าเป็นป้ายที่ทางเมืองเอามาติดไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยว แต่พอมุดหน้าลงดูแผนที่ที่ฉกมาจากร้านกาแฟกับเพื่อน ก็อยากจะร้องไห้โฮออกมาแทนเมืองที่ให้งบประมาณในการจัดงาน เพราะเจ้าป้ายไฟที่ว่านี่ก็ (กล้า) นับตัวเองว่าเป็นงานจัดตั้งอีกชิ้นนึงด้วยค่ะ ชื่อว่า Tower แถมมีถึง 3 ชิ้นแน่ะ (อีก 2 ชิ้นอยู่ที่ Place des Cordeliers (ปลาส เดส์ กอร์เดอลิเยร์) และ Place Louis Pradel (ปลาส ลุยส์ พราแดล))
 
งานติดตั้ง “Tower” ณ Place Bellecour 
หลังจากอึ้งตะลึงแบบเต็มขีดกับผลงานที่ต่างกันอย่างสุดขั้ว ทั้งผลงานที่อลังการแบบสุดๆ และผลงานที่ “ถ่อมตัว” แบบสุดๆ กันไปแล้ว เราก็เดินมุ่งหน้าไปทางฝั่งแม่น้ำ Saône (โซน) ที่อีกฟากฝั่งมีเมืองเก่าเป็นฉากหลัง แต่ว่า ยังไม่ทันจะได้ข้ามน้ำไป เราก็เจอกับคลื่นมนุษย์ขนาดย่อมที่ไหลทวนมาอย่างไม่ขาดสาย มองไปลิบๆ อีกฝั่ง เห็น projection mapping (การฉายภาพลงบนตัวตึกหรือวัตถุ) ขนาดใหญ่ฉายอยู่บนเนิน Fourvière (ฟูร์วิแยร์) บอกเล่าเรื่องราวพร้อมดนตรีและเสียงประกอบ โดยใช้ชื่อว่า Les Cueilleurs de Nuages (เลส์ เกยเยอร์ เดอ นูอาจส์ – ชื่อยากมาอีกแล้ว -*-‘) หรือคนเก็บเมฆ แต่ต้องขอสารภาพค่ะว่าดูไม่รู้เรื่องเลย เนื่องจากเราอยู่ไกลมากกก พยายามเข้าไปใกล้แล้วแต่ก็มองไม่เห็นอะไรเลย เพราะคนไปออกันอยู่ที่ริมน้ำเยอะมากกก มนุษย์แคระอย่างเราเลยต้องมาปีนม้านั่ง ยืนดูภาพเมฆลอยไปลอยมาอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ ว่าจะโดนใครเบียดร่วงลงมามั้ย สรุปว่าให้คะแนนงานชิ้นนี้ไม่ถูกเลยค่ะ 

ฝูงคนขวักไขว่อย่างหนาตาบริเวณ Quai des Célestins (เก เดส์ เซเลสแตงส์)

งานแสดง Les Cueilleurs de Nuages” จากระยะไกลโพ้น

ถึงจะน่าเสียดายแต่ก็ต้องตัดใจเดินข้ามสะพานมาอีกฝั่งยังเขตเมืองเก่าจนมาเจอกับงานไฟหน้าตาน่าสนุก หน้า Temple du Change (ตอมพล์ ดู ฌองจ์) น่าสนุกยังไงน่ะหรอคะ นอกจากสีสันที่ละลานตาแล้ว วงแสงไฟเหล่านี้ยังหมุนติ้วๆๆๆ อย่างไม่ยอมหยุด เรายืนชื่นชมผลงานอยู่นานเหมือนโดนวิชาเนตรวงแหวนสะกดให้งงงวย แล้วอยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงลมหวีดหวิว คิดในใจว่า “ตายแล้ว ฝนมาแน่ๆ” แต่พอหันไปเจอป้ายผลงานถึงได้รู้ว่าเสียงลมที่ได้ยินนั้นเป็นเสียงเอฟเฟคต์ประกอบการแสดงภายใต้ชื่อว่า “Flower Power นั่นเอง  [ดูวิดีโอ] ส่วนตัวแล้วชอบผลงานนี้อยู่ไม่น้อยทีเดียวค่ะ น่าเสียดายแค่ตรงที่ว่าร้านอาหารข้างๆ เปิดเพลงเสียงดังจนกลบเสียงลมแทบหมดเลย

“Flower Power” หน้า Temple du Change

วงล้อหลากสีหมุนติ้วๆ โดยมีเสียงเอฟเฟคต์ลมประกอบ
 
เดินเลาะต่อมาตามถนนในเขตเมืองเก่า ผ่านหน้าพิพิธภัณฑ์ Gadagne (กาดานย์) มีผู้คนต่อแถวรอเข้าไปในอาคารอย่างเพียบ ก้มลงดูแผนที่ เห็นชื่อผลงาน Nocturne (นอคตูร์น) ที่แปลงามๆ ได้ว่า “ยามราตรี” มีภาพประกอบแลดูพิศวงน่าค้นหา แต่แถวที่ยาวเหยียดประกอบกับความหนาวในคืนนั้น ทำให้เราหมดอารมณ์ที่จะค้นหามันไปเลยค่ะ ฮือๆ เสียใจ แต่ชีวิตยังคงต้องเดินต่อไป เราและเพื่อนมุ่งหน้าไปยังโบสถ์ Saint-Jean-Baptise (แซงต์-ฌอง-บัปติส) พื้นที่ที่เพื่อนประทับใจในงานจัดแสดงของปีที่แล้ว เบื้องหน้าของเรา ซึ่งมีคนออกันอยู่อย่างหนาตาเป็นงาน mapping อีกเช่นเคยค่ะ ฉายลงบนตัวโบสถ์ ภายใต้ชื่อ “Genesis” ในตอนที่พวกเราไปถึงนั้นเป็นฉากท้ายๆ ของการแสดงแล้ว เรากับเพื่อนจึงตัดสินใจหาที่เหมาะๆ ที่ที่คน “ตัวเล็ก” อย่างเราสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนเพื่อย้ำอีกรอบค่ะ รอบนี้เลยได้ดูฉากสวยๆ อันเป็นต้นกำเนิดของสรรพสิ่งมีชีวิตบนโลกตั้งแต่ต้นจนจบ สำหรับคนที่ไม่เคยหรือไม่ค่อยได้ดูงาน mapping มาก ก็น่าจะเรียกคะแนนได้ดีอยู่ค่ะ แต่เนื่องจากเราเคยดูงานทำนองนี้มาเยอะแล้ว ตั้งแต่ตอนที่อยู่ที่ Lille (ลีล) ซึ่งมีเทศกาล mapping ทั่วเมืองทุกปี เลยขอให้คะแนนความสวยงามและความสร้างสรรค์อยู่ที่ 6/10 ค่ะ เพราะรู้สึกผิดหวังที่ศิลปินไม่ได้เล่นงานที่ล้อกับโครงสร้างของตึกซึ่งเป็นจุดขายของงานประเภท mapping สักเท่าไหร่

หน้าโบสถ์ Saint-Jean-Baptise ผู้คนกำลังยืนดูงาน mapping กันอย่างแน่นขนัด
งาน mapping “Genesis” บนผนังหน้าโบสถ์ Saint-Jean-Baptise 
 
ผู้คนเริ่มทยอยออกจากบริเวณโบสถ์ หันมองดูเวลาบนหน้าจอมือถือ ห้าทุ่มพอดิบพอดี เป็นอันว่าจบรายการของค่ำคืนนี้ นี่ขนาดใช้เวลาเดินไปเดินมาอยู่ 3 ชั่วโมงกว่านะคะ ยังได้ดูแค่ 5 ชิ้นงานเอง (ถ้านับโครง Tower อะไรนั่น กับงาน mapping ที่เห็นอยู่ลิบๆ ด้วย 😭) ระหว่างทางที่เดินกลับบ้านแบบหนาวๆ เหงาๆ ฝูงคนที่บางตาลงเผยให้เห็นโคมไฟทรงคล้ายบอลลูนห้อยประดับประดาอยู่เหนือถนน Rue de la République (ครู เดอ ลา เครปูบลิค) สีฟ้าส่องสว่างของกลุ่มโคมไฟตัดกันอย่างชัดเจนกับสีแดงเข้มของดวงไฟจากเสาไฟตลอดข้างทาง ขณะที่เขียนบทความนี้ไปมองแผนที่จัดงานไปถึงเพิ่งจะรู้ว่านี่เป็นงานติดตั้งอีกรายการหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า “Les amours en cage” (เลส์ อามูร์ ออง กาจ) – ความรักในกรง โดยในแผนที่ระบุว่าเป็น interactive work (งานที่ผู้ชมงานสามารถมีส่วนร่วมได้ด้วย เช่น ให้เรากดปุ่ม หรือบังคับทิศทางของชิ้นงานได้) ซึ่งเราก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะว่าต้องทำยังไงสำหรับงานชิ้นนี้ แต่นะคะ ก็ถือว่าได้ดูของสวยๆ งามๆ ตบท้ายรายการอีกชิ้นก่อนล้มตัวลงนอนบนเตียง บอกตัวเองว่าวันที่ 8 จะต้องไปดูงานงามๆ ชิ้นอื่นๆ ให้จงได้... 


“Les amours en cage” บนถนน Rue de la République

Comments

Popular posts from this blog

เที่ยว Lyon ลงไปทำอะไรดี

8 ของดีเมือง Annecy มาทั้งทีควรโดน

เที่ยวตลาดคริสต์มาสส่งท้ายปีที่ Cologne