Fête des Lumières 2019 – ทำตัวเป็นแมงเม่าบินเข้างานไฟ (ตอนที่ 2)



ก่อนที่แมงเม่าอย่างเราจะบินออกไปดูไฟในเมืองเป็นรอบที่สอง เราก็ขอมีส่วนร่วมเป็นสักขีพยานหนึ่งในประเพณีอันเก่าแก่ที่สุดของลียงเสียก่อน นั่นก็คือการจุดเทียนขอบคุณพระแม่มารีนั่นเอง (อ่านตอนที่ 1 ที่นี่)


จากที่สังเกตการณ์แล้ว จะเรียกว่าเป็นพิธีกรรมก็คงไม่ถนัดปากนัก เพราะเราไม่ได้สวดมนตร์หรือทำอะไรเป็นพิเศษเลยนอกจากจุดเทียนแล้วนำไปวางตรงขอบหน้าต่างบ้าน เทียนที่ใช้เป็นเทียนสีขาวแบบที่เราเห็นกันในโบสถ์นั่นแหละค่ะ นำเทียนมาใส่ในแก้วหรือถ้วยใสๆ เล็กๆ ที่หาได้ในบ้าน หรือตามซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไปในเมืองเขาก็มีแก้วเทียนขายเพื่อการณ์นี้โดยเฉพาะนะคะ ใส่น้ำลงไปในแก้วนิดหน่อย วิธีนี้จะช่วยให้เทียนไม่ติดก้นแก้วเวลาทำความสะอาด เป็นเคล็ดลับที่เพิ่งเรียนรู้จากที่บ้านแฟนแล้วพบว่า “พระเจ้ายอด มันจอร์จมาก!  

แก้วใส่เทียนที่วางขายทั่วไปในซูเปอร์มาร์เก็ต

ถามผู้รู้ (ยายและแม่ของแฟน) แล้ว ไม่มีตัวเลขตายตัวค่ะ สำหรับจำนวนเทียนที่ต้องใช้ หลังจากจุดเทียนทั้ง 28 เล่มแล้ว (ยิ่งเยอะยิ่งสวย เขาว่างั้น) เราก็นำเทียนไปวางประดับไว้ตรงขอบหน้าต่าง มองไปฝั่งตรงข้าม เห็นเพื่อนบ้าน 2-3 หน่วย กำลังนำเทียนมาวางเหมือนเราเลยค่ะ แต่ก็แอบผิดหวังมากถึงมากที่สุด เพราะจากที่เคยได้ยินหรือโดนบิวท์ (เป่าหู) ไว้เยอะนั้น เขาบอกว่าวันที่ 8 ธันวาคม เป็นวันที่เราจะได้เห็นไฟจากทั้งแสงไฟในงานแสดงและแสงเทียนตามหน้าต่างบ้านเต็มไปโม้ดดดด แต่สิ่งที่เราเห็นตอนนั้นมีแต่หน้าต่างมืดๆ เต็มไปโม้ดดดดด T0T เห็นเราทำท่าผิดหวังทั้งแม่แฟนและแฟนก็บอกเราว่ามันยังไม่ถึงเวลาที่คนส่วนใหญ่เขาจุดเทียนกันนี่นา เราเลยค่อยเบาใจค่ะ คิดว่าเดี๋ยวเวลาบินออกไปคงมีแสงไฟจากเทียนให้เห็นมากกว่านี้

ชาวเมืองลียงนำเทียนมาวางเรียงตามขอบหน้าต่างหรือระเบียง

ก่อนจะก้าวขาออกจากบ้านได้ไม่ถึงชั่วโมง ฝนเจ้ากรรมก็ตกลงมาแบบไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆ เสียอย่างนั้น บอกตัวเองว่าไม่มีเวลามานั่งรอฝนหยุดนะ ว่าแล้วก็คว้าร่มและเสื้อโค้ทเดินออกไปท้าฝนเลยค่ะ (แน่จริงตกลงมาเยอะๆ เซ่!) เดินผ่านถนน Cours Franklin Roosevelt (กูร์ แฟรงกลิน โรสเวลต์) ซึ่งมีไฟดวงน้อยระยิบระยับประดับอยู่สองฟากฝั่ง หลงเข้าใจไปแว็บนึงว่านี่เราเดินมาถึงราชดำเนินได้ไงเนี่ย! เพราะมันเหมือนมากค่ะ (ไม่เชื่อดูรูป) 

ถนน Cours Franklin Roosevelt ประดับประดาด้วยไฟเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศงาน

หลังจากเพ้อเจ้อจนพอใจแล้ว เราและชาวคณะก็เดินต่อจนมาถึง Place Louis Pradel (ปลาส ลุยส์ พราแดล) ซึ่งมีกลุ่มก้อนโคมไฟแบบตั้งโต๊ะประดับประดาอยู่ตลอดแนว นี่คือผลงานที่ชื่อว่า “Les Lustres” (เลส์ ลูสทร์) โคมไฟระย้าย้อยแบบกลับหัวค่อยๆ เปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ ช้าๆ แดง ฟ้า เขียว ม่วง อย่างไร้เสียงดนตรีประกอบ ค่ะ...สวยค่ะ... แล้วเราก็เดินแหวกฝูงคนที่ออกันอยู่ตรงแผงกั้นตรวจกระเป๋าและสัมภาระมาจนถึง Place du Griffon (ปลาส ดู กริฟฟง) ซึ่งมีตู้เกมพินบอลขนาดยักษ์เล่นตั้งอยู่ ในชื่อผลงาน “Faite vos jeux” (แฟต โวส์ เฌอซ์) ซึ่งเป็นสำนวนฝรั่งเศสตีความได้ว่า “แล้วแต่โชคชะตาจะกำหนด” ตู้พินบอลยักษ์นอนตะแคงข้างอยู่บริเวณลานขนาดย่อม เหมือนมีใครมาชนตู้ล้มตอนตีกัน แสงไฟจากจอตู้สว่างจ้า มีเสียงเอฟเฟคต์เกมประกอบฟังดูน่าสนุก น่าเสียดายที่ผลงานนี้ไม่ใช่ interactive work ไม่อย่างนั้นคงสนุกกว่านี้ ...แต่คิดไปคิดมา ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ป่านนี้เราคงได้ต่อแถวยาวเหยียดออกไปนอกถนนเพื่อรอเล่นเกมแน่ๆ เลยค่ะ

 “Les Lustres” ณ Place Louis Pradel

“Les Lustres” จากอีกมุม

ตู้เกม “Faite vos jeux”

ไม่ไกลจากลานตั้งตู้เกม ป้ายไฟนีออนโชว์ชื่อผลงานอีกชิ้นพร้อมระบุทิศที่ชิ้นงานตั้งอยู่ เสียงเพลงดังก้องกังวานไปทั่วลาน Cours des Moirages (กูร์ เดส์ มัวคราจส์) กลุ่มคนดูมากมายกำลังรายล้อม “Order200” จนเรามองแทบไม่เห็นชิ้นงาน ชะโงกชะเง้ออยู่ไม่กี่นาทีเพลงก็เล่นจบ เป็นสัญญาณบอกว่าจบการแสดง คราวนี้เราเลยรีบดิ่งไปอยู่แถวหน้าเพื่อที่จะได้เห็นผลงานรอบถัดไปอย่างถนัดตา หลอดไฟ 200 ดวง (เดาเอาจากชื่อผลงานนะคะ 😅) ส่องแสงกระพริบสับเปลี่ยนคิวและเปลี่ยนสีไปตามจังหวะดนตรีแนวอิเล็กทรอนิกส์ [ดูวิดีโอ] จังหวะนี้เราเริ่มแอบปวดหัวแล้วค่ะ นึกว่าตัวเองกำลังดูเรื่อง 2001: A Space Odyssey ภาพยนตร์มหาภาพย์อันยิ่งใหญ่สำหรับหลายๆ คน (แต่ไม่ใช่เรา) อยู่ เข้าใจว่างานชิ้นนี้อาจต้องอาศัยการตีความที่ลึกซึ้ง ซึ่งต้องขอยอมรับค่ะว่าส่วนตัวเราเข้าไม่ถึงจริงๆ แต่ก็ต้องแอบตบมือให้ตัวเองรัวๆๆ ที่ดูโชว์จนจบได้โดยไม่มีอาการคลื่นเหียน

“Order200” บริเวณ Cours des Moirages



หลังจาก “แลนดิ้ง” สู่พื้นโลก เราก็เดินเบียดเสียดผู้คนต่อมาจนถึงบริเวณลาน Place des Terreaux (ปลาส เดส์ แตร์โครส์) งาน projection mapping “Une toute petite histoire de lumière(อูน ตูต เปอติต อีสตัวร์ เดอ ลูมิแยร์ – ยาวไป๊ 😑) “เรื่องเล็กๆ ของแสงไฟ” กำลังเริ่มฉายพอดี [ดูวิดีโอ] นับเป็นเรื่องเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่ทีเดียวค่ะ ฝูงดาวนับร้อยลอยระยับอยู่บนตัวอาคาร hôtel de ville (โอแตล เดอ วีล) (ถ้าให้เปรียบคงคล้ายๆ ศาลากลางจังหวัดบ้านเรา) และพิพิธภัณฑ์ Musée des Beaux-Arts (มูเซ เดส์ โบส์สารท์) ซึ่งถูกอาบด้วยแสงสีน้ำเงินเข้มให้กลายเป็นท้องฟ้ายามค่ำคืน เสียงเพลงประกอบช่วยสะกดให้เรารู้สึกเหมือนหลุดเขาไปอยู่ในโลกแห่งความฝัน โลกแฟนตาซีในหนังสือนิทาน [ดูวิดีโอ] แต่น่าเสียดายค่ะที่เรามัวแต่ถ่ายรูปและวิดีโอมาให้คนอื่นดู จนลืมซึมซับบรรยากาศที่อยู่ตรงหน้า แถมยังทำให้เราไม่เข้าใจเนื้อเรื่องอีกด้วยค่ะ ก็เลยบอกตัวเองว่าจะไม่ทำนิสัยแบบนี้อีกแล้วจ้า T T แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม ผลงานชิ้นนี้ได้ใจเราไปเลยค่ะ 10/10 ทั้งในเรื่องความสวยงามและวิธีการนำเสนอ

mapping “Une toute petite histoire de lumière” บนอาคาร hôtel de ville

ภาพงานแสดง “Une toute petite histoire de lumière” เฉิดฉายอลังการอยู่บนอาคารทั้งสองหลัง


ภาพ mapping รวมของดังเมืองลียง

หลบหนีฝูงคนจากฝั่งหนึ่ง เพื่อมาเจอกับกลุ่มก้อนคนอีกฟากฝั่งหนึ่งของแม่น้ำ Saône (โซน) หน้าตึกสถานีรถไฟ Saint-Paul (แซงต์-ปอล) กำลังฉายภาพนักบินอวกาศที่แหวกว่ายไปมาในห้องหรือฉากที่คนธรรมดาอย่างเราดูไม่ออกเลยค่ะว่ามันคืออะไร 555 ผลงานชิ้นนี้ชื่อว่า Daydreams” หรือฝันกลางวันนั่นเองค่ะ ด้วยความที่อยู่ไกลแถมโดนต้นฝรั่งต้นใหญ่ๆ บังตาทำให้เราดูไม่รู้เรื่องเลยค่ะ ประกอบกับความเอียนในงาน mapping (หรือเอียนในฝูงคนก็ไม่รู้) ทำให้เราหมดความอดทนที่ยืนชมงานนี้จนจบ เลยเดินหนีออกมาไปหาที่เงียบๆ (กว่านี้) ดีกว่า

Daydreams” หน้าสถานีรถไฟ Saint-Paul

บนถนน Quai de Bondy (เก เดอ บอนดี) เราเดินตามป้ายเข้าไปในตึก Palais Bondy (ปาเลส์ บอนดี) มีงาน “Les Fabuloscopes (เลส์ ฟาบูโลสโคปส์) ซึ่งเป็นงาน interactive work จัดแสดงอยู่ถึงสามชิ้นย่อยด้วยกันค่ะ ทันทีที่ไปยืนอยู่หน้างานชิ้นแรก ก็มีคนหมุนฐานรองชิ้นงานอย่างรวดเร็ว งานทรงปิรามิดหมุนติ้วๆ รอบตัวเอง ก่อให้เกิดเป็นภาพเคลื่อนไหวซึ่งใช้เทคนิคเดียวกันกับที่ใช้ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์บนแผ่นฟิล์มก่อนที่กล้องดิจิตอลจะเข้ามาครองโลกนี่แหละค่ะ กระจกทรงปิรามิดส่องสว่าง แสดงภาพของ Gignol (กิยอล) หนึ่งในสัญลักษณ์อันโด่งดังของเมืองลียง ตุ๊กตากิยอลชูป้ายรูปหัวใจบอกรักกันอย่างพร้อมเพรียงพร้อมเสียงประกอบสดใสฟริ้งฟรุ้ง [ดูวิดีโอ] จากงานทั้งสามชิ้นในห้องโถง น่าเสียดายที่มีเพียงงานชิ้นแรกชิ้นเดียวที่ใช้การได้ ส่วนอีกสองชิ้นโดนแขวนป้าย “เสีย” รอให้ทีมงานมาซ่อมอยู่ค่ะ นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเราไม่เห็นงาน interactive work มากนัก โดยเฉพาะในงานเทศกาลที่ไม่มีการเก็บค่าเข้าชมใดๆ

หนึ่งในงาน “Les Fabuloscopes

เราเดินออกจากตึกมาจนถึงเขตเมืองเก่า หน้าพิพิธภัณฑ์ Gadagne (กาดานย์) ยังคงมีคนมาต่อแถวแถมยาวกว่าคืนแรกที่เราเห็นเป็นเท่าตัว เรารู้ตัวดีว่าคงไม่มีโอกาสได้ดู “Nocturne” (นอคตูร์น) งานที่มีเพื่อนเคลมมาว่าดีเลิศอลังการ เลยตัดใจเดินผ่านคิวยาวๆ ขึ้นไปตามเนินทางเดิน Chemin Neuf (เชอแมง เนิฟ) ซึ่งทำให้เราเห็นงาน mapping “Genesis” จากมุมที่สูงกว่าและชัดเจนกว่าคืนก่อนมากมาย ภาพที่ฉายบนโบสถ์ Saint-Jean-Baptise (แซงต์-ฌอง-บัปติส) ณ คืนนั้นดูงามตากว่าที่เราเคยเห็น แถมกลุ่มแสงเทียนจากตึกข้างๆ โบสถ์ยิ่งช่วยขับให้บรรยากาศโดยรอบดูขลังและงดงามยิ่งขึ้นอีกหลายเท่าตัว

“Genesis” จากมุมสูง



แสงไฟจาก “Genesis” ล้อกับแสงเทียนริมหน้าต่างในเขตเมืองเก่าเบื้องล่าง

เดินไต่ขึ้นไปอีกนิด เรามาหยุดพักเบรกเบาๆ ที่ Jardin Communautaire (จาร์แดง คอมมูโนแตร์) ลียงยามค่ำคืนถูกประดับประดาด้วยแสงไฟหลากสี แสงไฟจากอาคารบ้านเรือน จากชิงช้าสวรรค์ใจกลางเมือง แสงเทียนจากหน้าต่าง และสารพัดแสงจากงานแสดงในคืนนั้นทำให้ลียงดูมีชีวิตชีวายิ่งกว่าวันไหนๆ ในรอบปี

ลียงยามค่ำคืนจากมุมสูง

หลังจากเดินต้านแรงโน้มถ่วงอยู่หลายร้อยเมตร เราก็มาถึงยัง Jardin André Malraux (จาร์แดง อองเดร มาลโคร) สวนอันเป็นจุดแสดงผลงานการทดลองของนักเรียนหลายสิบชิ้นในชื่อโครงการร่วมกันว่า Expérimentations étudiantes” (เอ็กซ์เปคริมองตาซิยง เอตูดิยองต์ – อ่านข้ามๆ ไปก็ได้ค่ะ...) รังผึ้ง เสื้อชูชีพเรืองแสง งานจากลูกขนไก่ งาน mapping ฯลฯ ชิ้นงานเหล่านี้สะท้อนความคิดสร้างสรรค์และแรงบันดาลใจอย่างเต็มเปี่ยมของนักเรียนผู้กระหายความรู้




ลงมาถึงริมน้ำ Saône เราก็ป๊ะเข้ากับ “Colosses” (โกลอส) งานชิ้นที่เราอยากดูพอดี หุ่นยักษ์ใหญ่รูปร่างคล้ายหุ่นไม้ใช้หัดวาดรูปอย่างกับแฝดผู้พี่กำลังยืนอยู่ในน้ำ ทำท่าดันสะพาน Pont Bonaparte (ปง โบนาปาร์ต) อย่างแข็งขัน หุ่นทั้งสองตัวเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ จากแดงเป็นน้ำเงิน น้ำเงินเป็นม่วง ม่วงเป็นเขียว... ตอนที่เรือแล่นเข้ามาใกล้สะพานยิ่งทำให้ดูเหมือนว่าเจ้าหุ่นยักษ์ทั้งสองตัวกำลังพยายามอย่างสุดกำลังที่จะอำนวยความสะดวกให้เรือรอดผ่านสะพานไปได้อย่างปลอดภัย รอบๆ บริเวณสะพาน แสงเทียนจากฝูงเรือกระดาษลำน้อยส่องระยับอยู่ริมท่าเรือ เจ้าเรือจิ๋วเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของงานที่ชื่อว่า Une rivière de lumières (อูน คริวิแยร์ เดอ ลูมิแยร์) ที่ถูกปล่อยให้ลอยมาตามลำน้ำ แต่มองดูแล้วก็ไม่ต่างอะไรจากงานลอยกระทงเลยค่ะสำหรับงานชิ้นนี้ เลยสงสัยว่ามีใครแอบไปดูงานแถวบ้านเรามาหรือเปล่าน้อ 

“Colosses” ณ สะพาน Pont Bonaparte

“Colosses” กับเรือสำราญยามค่ำ

พวกเรามุ่งหน้าต่อไปยังทิศทางที่มีแม่น้ำ Rhône (โครน) อยู่ งานชิ้นใหญ่สว่างตาในชื่อ “Pavillon” (ปาวิยง) ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลาง Place Antonin Poncet (ปลาส อองตวน ปงเซต์) ศาลาทรงปิรามิดสีขาวช่วยเพิ่มแสงสว่างให้กับทั่วบริเวณจตุรัส ทำให้เรารู้สึกปลอดภัยและมั่นใจที่จะเดินผ่านพื้นที่บริเวณนี้อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนแม้ขณะนั้นจะเป็นยามวิกาลแล้วก็ตาม

“Pavillon” ณ Place Antonin Poncet

เหลือบมองดูเวลาบนหน้าจอมือถือ เกือบห้าทุ่มแล้ว เราและชาวคณะต่างรู้สึกเหน็ดเหนื่อยจากระยะทางที่เดินและจำนวนคนที่ผ่านเข้ามาในสายตาตลอดทั้งคืนจึงตัดสินใจพากันเดินกลับบ้าน ในความเงียบงัน ผ่านพ้นพื้นที่จัดแสดงงานมาสักระยะ หน้าต่างบางบานยังคงมีแสงเทียนให้เห็นอย่างประปราย ณ สี่แยกแห่งหนึ่ง แสงไฟสีน้ำเงิน ขาว แดง อาบฉายอยู่บนตัวอาคารว่าการเขตปกครอง Rhône ต้องยอมรับว่านี่เป็นธงผืนที่สวยงามที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาเลยค่ะ ธงสามสีส่องสว่าง ตรึงแน่นไม่ไหวติงอยู่บนตัวอาคารแม้ยามต้องลมแรง จนทำให้เราอดยิ้มและพึมพำกับตัวเองไม่ได้ หลังจากงานแสดงที่ได้ดูมาทั้งหมดในคืนนั้น นี่นับว่าเป็นงานฟินาเลปิดฉากที่เยี่ยมยอดจริงๆ ค่ะ

อาคารว่าการเขตปกครอง Rhône ยามค่ำคืนอาบด้วยแสงของสีธงชาติฝรั่งเศส

 English Version click here

Comments

Popular posts from this blog

เที่ยว Lyon ลงไปทำอะไรดี

8 ของดีเมือง Annecy มาทั้งทีควรโดน

เที่ยวตลาดคริสต์มาสส่งท้ายปีที่ Cologne