กลับมาเมืองไทยคราวนี้
นอกจากการไปเดินสายเยี่ยมญาติและมิตรสหายตามหัวเมืองต่างๆ แล้ว
เรายังถือโอกาสทำตัว “เนียน” เป็นนักท่องเที่ยว ไปเดินเที่ยว
“งานแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์” ณ เมืองละโว้บ้านเกิดของเราด้วยเสียเลย
“งานแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช” จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในเดือนกุมภาพันธ์
(วันที่นั้นไม่แน่นอน) เพื่อรำลึกถึงองค์สมเด็จพระนารายณ์มหาราชผู้ทรงนำความเจริญมาสู่เมืองละโว้และครั้งหนึ่งทรงได้สถาปนาเมืองแห่งนี้ให้กลายเป็นเมืองหลวงแห่งที่สองรองจากราชธานีศรีอยุธยา
โดยจุดประสงค์แรกเริ่มของการจัดงานนั้นมีขึ้นในปีพ.ศ. 2501 ในยุคของจอมพลแปลกพิบูลสงคราม เพื่อระดมทุนสร้างอนุสาวรีย์สมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยในสมัยนั้นเรียกกิจกรรมนี้ว่า
“งานในวัง” อันเป็นที่มาของชื่อ “งานวังฯ” ที่คนลพบุรีเรียกกันมาจนถึงทุกวันนี้
|
ตัวอย่างชุดไทยโบราณซึ่งสวมใส่โดยทูตสยาม |
เมื่อเทียบกับความทรงจำเก่าๆ แล้ว ต้องยอมรับเลยค่ะว่ากระแสตอบรับที่มีต่องานวังฯ
เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากภาพในความทรงจำเมื่อครั้งก่อน
ที่เด็กเมืองลิงอย่างเราค่อนข้างอิดออดที่จะต้องแต่งชุดไทยไปโรงเรียนตลอดช่วงเทศกาล
(เวลาใส่แล้วทั้งร้อนทั้งคัน 555!) และมองกิจกรรมที่จัดไม่ต่างอะไรกับงานวัดทั่วไปที่เราเข้าไปหาซื้อขนมและของเล่นหลอกเด็ก
จะต่างกันหน่อยก็ตรงกิจกรรมการแสดงแสงสีเสียงเท่านั้น จนเมื่อสองสามปีที่ผ่านมา
กระแสของละครดังทำให้การแต่งกายด้วยชุดไทยโบราณกลายเป็น “แฟชั่น” อีกอย่าง งานวังฯ
ลพบุรีเลยบูมขึ้นอย่างน่าตกใจ มีนักท่องเที่ยวจากนครอื่นหลั่งไหลเข้ามาเยี่ยมชมงานกันอย่างมากมายผิดหูผิดตานะออเจ้าเอย
จากคำบอกเล่าของคนที่บ้าน
ปีนี้ก็เช่นกันค่ะที่จำนวนนักท่องเที่ยวยังคงสูงเป็นประวัติการณ์
แต่อาจจะซากว่าปีก่อนหน่อยด้วยกระแสของเชื้อไวรัสโคโรนา ที่เดินทางมาถึงไทยแทบจะพร้อมๆ กัน
ถึงอย่างนั้นก็เถอะค่ะ บรรดาร้านรวงที่ขายหรือให้เช่าชุดไทยก็ดูจะคึกคักไม่แพ้ร้านขายขนมของกินขจนได้กลิ่นเงินสะพัดสะบัดปลิวไปทั่วเมืองลพบุรีเลยล่ะเจ้าค่ะ
|
บรรยากาศภายในวังช่วงกลางวัน |
เนื่องจากงานวังฯ ในปีนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 14 - 24 กุมภาพันธ์
ตลอด 10 วัน และเนื่องจากบ้านของเรานั้นอยู่ใกล้กับสถานที่จัดงานมาก
เราเลยเก็บเล็กผสมน้อย (จริงๆ คือเดินบ่อย เดินจนชิน เลยลืมถ่ายรูป 555)
ภาพบรรยากาศภายในงานในช่วงวันและเวลาที่ต่างกันออกไปมาให้ทุกคนได้ดูกันค่ะ
ในวันแรกของงาน
แทนที่เราจะเข้าไปเบียดเสียดกับเขาภายในพระนารายณ์ราชนิเวศน์
เราก็อาศัยการดักซุ่มอยู่ริมถนนแถวบ้านเพื่อรอโจมตีขบวนแห่ด้วยแสงแฟลชและชัตเตอร์
ขบวนแห่รอบเมืองซึ่งกลายเป็นประเพณีภาคบังคับพร้อมกับเป็นการประชาสัมพันธ์งานไปในตัว
เวลาประมาณ 16 นาฬิกาเศษ หัวขบวนนำโดยพี่ช้าง
พี่ม้าและเหล่าผู้ร่วมเดินขบวนทุกคนต่างแต่งกายด้วยชุดไทยโบราณพร้อมเครื่องประดับงดงามตระการตา
ไม่ว่าจะเป็นขบวนชุดของเหล่าขุนนาง ราชทูต หรือแม้แต่เหล่าทหารฉกรรจ์ ได้ค่อยๆ
พากันชักแถวเดินมุ่งหน้าไปยังวังนารายณ์อันเป็นสถานที่จัดงานหลัก
|
หัวขบวนแห่กำลังมุ่งหน้าไปยังพระนารายณ์ราชนิเวศน์
|
|
เหล่าทหารหาญในเครื่องแบบโบราณ |
|
ทูตสยามและเหล่าทหารองครักษ์ |
|
กลุ่มชาวมอญในจังหวัดลพบุรี |
ในคืนวันที่สองของงาน
หลังจากหาเสื้อผ้าและเครื่องประดับได้แบบพอหอมปากหอมคอแล้ว
เราและที่บ้านก็พากันชักแถวเดินเท้าไปเที่ยวชมบรรยากาศในวังฯ อย่างคนอื่นเขาบ้าง สำหรับใครที่อยู่ไกลหรือมาจากต่างจังหวัด
ขอแนะนำให้ไปหาที่จอดรถแต่เนิ่นๆ นะคะ
เนื่องจากถนนบริเวณที่จัดงานถูกปิดทั้งหมดเพื่อใช้เป็นพื้นที่สำหรับตั้งร้านรวง
ปีนี้เราเห็นว่าเขามีบริการ “รถรางรับ-ส่ง” ฟรีจากบริเวณที่จอดรถใหญ่ๆ ด้วยค่ะ อ้อ!แล้วก็อย่าไปจอดรถใกล้แถวศาลพระกาฬหรือปรางค์สามยอดโดยไม่มีคนเฝ้านะคะ
เพราะไม่งั้นรถของคุณอาจกลายเป็นของเล่นของพี่จ๋อเจ้าถิ่นได้
|
บริเวณประตูทางเข้าด้านหน้าพระนารายณ์ราชนิเวศน์ |
บริเวณถนนหน้าวังฯ ซอยสรศักดิ์ มีของกินของใช้ให้เลือกซื้อมากมาย
ตั้งแต่ขนมของกินเล่นไทยโบราณ ผ้าไทย บริการเช่าชุดไทยพร้อมถ่ายรูป ไปจนถึงสารพัดของกินและของใช้ทั่วไปอย่าง
แมลงทอด นกกระทาย่าง [ดูวิดีโอ] (อันนี้มันทั่วไปมั้ยน้อ ^^’) และเคสโทรศัพท์มือถือ...ของใช้ที่แสนจะเข้ากันกับธีมงาน
555! ส่วนภายในวังฯ ยามค่ำคืนนั้นถูกประดับประดาด้วยไฟดวงน้อยๆ
เรืองอร่ามจำนวนมาก ชวนให้ดูเหมือนฝันมากกว่าบรรยากาศตอนกลางวันที่ร้อนระอุจากไอแดดและมีผู้คนบางตาจนอยากจะแอบเอาปลาเค็มไปตากไว้
ซึ่งมันก็ให้อารมณ์ต่างกันไปนะคะ กลางคืนมีไฟสวยๆ ท่ามกลางบรรยากาศที่คึกคัก
ในขณะที่ตอนกลางวันเราสามารถเห็นสีสันของดอกไม้นานาพรรณที่เขายกมาประดับไว้ได้ชัดเจนกว่าและยังไม่ต้องไปเบียดเสียดกับผู้คนเพื่อแย่งกันถ่ายรูปตามจุดต่างๆ
หรือโดนคนที่เดินผ่านไปมาแย่งซีนในกล้องของตัวเอง (มันเศร้านะ)
เพราะฉะนั้นใครที่มีเวลามากหน่อย ก็อยากแนะนำให้ลองไปเที่ยวในวังฯ
ทั้งตอนกลางวันและกลางคืนเลยค่ะ เพราะช่วงเทศกาลนี้เราไม่ต้องเสียค่าเข้าขมค่ะ
ยาวไป ยาวปายยย...
|
ซอยสรศักดิ์ช่วงกลางวัน |
|
ซอยสรศักดิ์ช่วงกลางคืนที่คึกคักขึ้นอย่างผิดหูผิดตา |
|
ตลาดโบราณภายในวัง |
|
บรรยากาศภายในวังฯ ตอนกลางวัน |
|
บรรยากาศภายในวังฯ ตอนกลางคืน |
|
วงดนตรีไทยบรรเลงโดยเหล่านักเรียน จ.ลพบุรี |
|
หน่วยทหารขณะกำลังเปลี่ยนเวรยาม |
|
หน่วยทหารขณะกำลังปฏิบัติหน้าที่ |
งานวังฯ ปีนี้ต่างจากหลายๆ ปีที่ผ่านมาหน่อย เพราะการแสดงแสงสีเสียงที่เคยจัดขายบัตรให้ชมพร้อมกับการรับประทานอาหารเย็นแบบล้อมวงขันโตกนั้นได้ถูกยกเลิกไป
แต่เปลี่ยนเป็นการแสดง “ประวัติศาสตร์จินตนาการ” ที่เปิดให้ชมฟรีทุกค่ำคืน
บอกเล่าเรื่องราวของเมืองลพบุรีในสมัยที่องค์สมเด็จพระนารายณ์ทรงได้เจริญสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศจนทำให้เศรษฐกิจการค้าในยุคนั้นเฟื่องฟูอย่างมาก
นอกจากนี้ในปีนี้ยังมีการแสดงอีกจุดหนึ่งภายในงานที่ธีมจะแตกต่างกันไปในแต่ละวัน
รู้สึกโชคดีมากค่ะที่วันที่เราเข้าไปเดินเล่นนั้นมีการแสดงโขนจากวิทยาลัยนาฏศิลป์ให้ชมพอดี
|
บรรยากาศภายในวังยามค่ำคืน |
ณ เวทีกลาง เสียงพากย์เห่ร้องผ่านเครื่องขยายเสียงดังกึกก้องไปทั่วลานโล่งจนแทบจะระเบิดแก้วหู
ผู้คนหนาตาพากันมานั่งชมการแสดงโขนกันอย่างใจจดใจจ่อ เราเดินไปถึงตอนที่การแสดงเริ่มได้สักพักแล้วเลยไม่อาจทราบได้ค่ะว่าเป็นเรื่องราวของรามเกียรติ์ตอนอะไร
รู้แต่ว่าท่วงท่าที่นักแสดงร่ายรำประกอบกับเสียงดนตรีนั้นช่างงดงามน่าชม
เหล่าลิงและยักษ์ที่แต่งองค์กันอย่างครบเครื่องออกโรงมาฟาดฟันกันด้วยกระบวนท่าสารพัน
แต่ไม่น่าเชื่อว่าฉากการแสดงที่จริงจังและน่าเกรงขามนี้จะสอดแทรกอารมณ์ขันน่าเอ็นดูเอาไว้ด้วย
นับเป็นการแสดงที่ให้อารมณ์หลากหลายรสและใช้ภาษากายได้อย่างดีเลิศ เพราะแม้แต่นักท่องเที่ยวต่างขาติอย่างแฟนและแม่แฟนเราก็ยังสามารถเข้าใจเนื้อเรื่องได้จากท่าทางของนักแสดงโดยไม่ต้องให้เราแปลสักคำเลยล่ะค่ะ
(ชอบใจสุดก็ตรงนี้ 555)
[ดูวิดีโอ]
|
ผู้ชมจำนวนหนาตากำลังชมการแสดงโขนอย่างใจจดใจจ่อ |
|
เหล่านักแสดงกำลังร่ายรำประกอบเสียงพากย์และเสียงดนตรีอย่างน่าชม |
ถัดจากลานเวทีกลางมา ภายในบริเวณสวนนารายณ์นฤมิตรที่มีฉากและพร็อพมากมายไว้ให้ผู้มาเที่ยวชมงานได้เข้าไปถ่ายรูปกันรัวๆ
คลาคล่ำไปด้วยผู้คนชวนให้บรรยากาศดูอึกทึกคึกคักและมีสีสัน
คนส่วนใหญ่ที่มาร่วมงานเลย “จัดเต็ม”
ปล่อยของปล่อยเครื่ององค์ที่ขนมากันอย่างเต็มที่ วันนึงเราบังเอิญเจอผู้ชายคนนึง ซึ่งมาเหนือมากค่ะ
แต่งเป็นเงาะป่า จูงมือมากับรจนาตัวน้อยที่เราเดาเอาว่าน่าจะเป็นลูกสาวของเขาเอง
ไปถ่ายรูปตอนเสี่ยงมาลัยบนฉากที่เขาจัดไว้ให้ด้วยค่ะ ซึ่งเรียกความสนใจคนที่มาเดินเที่ยวแถวนั้นไปแบบเต็มๆ
ด้วยความน่ารักน่าเอ็นดูของทั้งคู่
|
รจนากำลังโพสต์ท่าขณะเสี่ยงพวงมาลัยให้เจ้าเงาะ |
|
น่ารักได้อีก ❤️ |
|
บรรยากาศในสวนนารายณ์นฤมิตรตอนกลางวัน |
แล้วเราก็เดินตัดลัดสวนนารายณ์นฤมิตรเพื่อมุ่งหน้าไปชมพรรณไม้งามๆ ณ
บริเวณพระที่นั่งสุทธาสวรรย์
แสงไฟระย้าย้อยห้อยจากไม้ใหญ่เยี่ยงเถาวัลย์แลดูเด่นชัดในยามค่ำคืนเปล่งรัศมีแข่งกับมวลไม้ดอกหลากสีและชนิดช่วยขับให้บรรยากาศในลานแห่งนี้ดูอลังตระการตาขึ้นอีกเป็นหลายสิบเท่าตัว
ไม่แปลกใจเลยล่ะค่ะว่าทำไมใครๆ ถึงพากันมารวมตัวอยู่ทั่วบริเวณนี้
พร้อมโพสต์ท่าให้ช่างภาพส่วนตัว (ทั้งมือโปรและจำเป็น) กดชัตเตอร์กันแบบไม่ยั้ง
แถมบางคนยังถึงขนาดยกทีมผู้ช่วยถือรีเฟล็กซ์และกองช่างแต่งหน้ามาด้วยนะคะ จนแฟนเราถามด้วยความไร้เดียงสาว่าเขามาถ่ายแบบไปลงนิตยสารกันหรอ
แหะๆ เรานี่เขินแทน ไม่รู้จะตอบยังไงเลยค่ะ
|
ย่ำค่ำบริเวณพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ |
เดินเที่ยวอยู่พักใหญ่ ความหิวไม่เข้าใครออกใคร
เราเลยพากันมาหยุดพักและหาอะไรใส่ท้องกันบริเวณตลาดย้อนยุคและสวนอาหารพื้นบ้าน
หากจะพูดถึงรสชาติและความพิเศษของอาหารในงานนั้นคงไม่มีอะไรแตกต่างหรือโดดเด่นจากร้านที่อยู่นอกงานแต่อย่างใด
แต่สำหรับใครที่อยากอินกับบรรยากาศไท้ย-ไทยในงาน
การนั่งรับประทานอาหารบนแคร่ไม้และแลกเงินพดด้วงมาใช้ก็คงเป็นประสบการณ์ที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อยทีเดียวค่ะ
อ้อ! แล้วที่สวนอาหารพื้นบ้านนี้ ตอนกลางวันเขามีโชว์ละครลิงให้ดูด้วย
เราไปชมมารอบนึงค่ะแต่แอบผิดหวัง เพราะละครลิงที่ว่าไม่ได้เล่าเรื่องราวในลักษณะละครเหมือนที่เราเคยดูเมื่อตอนเป็นเด็กๆ
แต่เป็นเหมือนโชว์กายกรรมลิงเสียมากกว่า ไม่ว่าจะเป็น ลิงที่ทำท่าลิปซิงค์ (lip sync) ร้องเพลง [ดูวิดีโอ] โชว์กระโดดลอดห่วง
[ดูวิดีโอ] หรือโชว์เก็บลูกมะพร้าว แต่ดูท่าว่าโชว์นี้จะถูกใจพวกเด็กเล็กๆ อยู่ไม่น้อยเลยค่ะ
เพราะเมื่อจบการแสดงแล้ว เด็กๆ ก็พากันกรูเข้าไปให้ทิปลิงบ้าง ขอจับมือลิงบ้าง
ประหนึ่งแม่ยกที่ชอบใจพระเอกลิเกคนโปรด หรือติ่งเกาหลีเวลาเจอโอปป้าอย่างไงอย่างงั้น
ยังดีนะที่ไม่มีใครขอหอมแก้มลิง 555
|
แวะหาอะไรใส่ท้องที่สวนอาหารพื้นบ้านในบรรยากาศไทยๆ |
|
|
โชว์ลิปซิงค์โดยสาวน้อยกาญจนา |
|
เหล่าซุป'ตาร์พบปะเด็กๆ หลังจบการแสดง |
นอกจากบริเวณภายในงานที่จัดใช้พื้นที่อย่างคุมค่าสมราคาโฆษณาแล้ว ยังมีจุดที่เป็น
Unseen in Lopburi สำหรับงานนี้อยู่ด้วยค่ะ นั่นก็คือวัดพระศรีรัตนมหาธาตุอารามในอันเก่าแก่ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากพระนารายณ์ราชนิเวศน์
แต่กลับกลายเป็นมุมเร้นลับที่ไม่ค่อยมีใครรู้ ซ่อนตัวอย่างเปิดเผยอยู่บริเวณตรงข้ามสถานีรถไฟลพบุรี
ยามกลางวันแม้แสดงแดดจะแผดเผาจนเราแทบจะร้องขอชีวิต แต่วัดพระศรีฯ
แห่งนี้ในยามค่ำคืนกลับให้ความรู้สึกที่เย็นสบาย
และบรรยากาศอันแสนสงบจนเราจะไม่แปลกใจเลยถ้ามีใครเข้ามานั่งสมาธิหรือเล่นโยคะในวัด
55 อันหลังนี้ล้อเล่นนะคะ
|
ภายในวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ |
ต้นลั่นทม (เดี๋ยวนี้เขาเรียกว่าลีลาวดีแล้วสิ)
น้อยใหญ่ที่เว้นระยะห่างประหนึ่งเตรียมตัวมาพร้อมรับสถานการณ์โควิด ออกดอกเป็นพุ่มขาวสวยหนาแน่นยิ่งกว่าใบเขียวๆ
ที่มีอยู่บนกิ่งก้าน เหล่าไม้งามพร้อมกลิ่นหอมช่วยขับให้พื้นที่ภายในบริเวณวัดดูสงบร่มเย็นและสบายตายิ่งขึ้นเมื่อถูกประดับประดาด้วยไฟดวงน้อยๆ
สีขาวโพลน เสียงเครื่องดนตรีไทยแว่วแผ่วมาจากเครื่องขยายเสียงคลอไปกับบรรยากาศอันร่มรื่น
หากใครชอบความสงบไร้ร้างผู้คนเป็นฝูงแนะนำให้มาเดินเล่นในนี้เลยค่ะ งานนี้เช้าชมฟรีเช่นกัน
|
ต้นลีลาวดีพร้อมไฟขาวประดับอยู่อย่างละลานตา
|
สำหรับใครที่อยากมาเที่ยวงานวังฯ ลพบุรีในปีต่อๆ
ไปหรืออยากมาเที่ยวลพบุรี
หรือมีข้อสงสัยอะไรก็ตามเกี่ยวกับจังหวัดลพบุรีก็ถามมาได้นะคะ
ถ้าตอบได้ก็ยินดีจะช่วยตอบเต็มที่ค่ะในฐานะเจ้าถิ่นเก่า ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ 😊
ภาพสวยมาก
ReplyDelete