งานวังฯ ลพบุรี 2563 – เนียนเป็นนักท่องเที่ยวในบ้านตัวเอง


กลับมาเมืองไทยคราวนี้ นอกจากการไปเดินสายเยี่ยมญาติและมิตรสหายตามหัวเมืองต่างๆ แล้ว เรายังถือโอกาสทำตัว “เนียน” เป็นนักท่องเที่ยว ไปเดินเที่ยว “งานแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์” ณ เมืองละโว้บ้านเกิดของเราด้วยเสียเลย 
 
“งานแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช” จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในเดือนกุมภาพันธ์ (วันที่นั้นไม่แน่นอน) เพื่อรำลึกถึงองค์สมเด็จพระนารายณ์มหาราชผู้ทรงนำความเจริญมาสู่เมืองละโว้และครั้งหนึ่งทรงได้สถาปนาเมืองแห่งนี้ให้กลายเป็นเมืองหลวงแห่งที่สองรองจากราชธานีศรีอยุธยา โดยจุดประสงค์แรกเริ่มของการจัดงานนั้นมีขึ้นในปีพ.ศ. 2501 ในยุคของจอมพลแปลกพิบูลสงคราม เพื่อระดมทุนสร้างอนุสาวรีย์สมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยในสมัยนั้นเรียกกิจกรรมนี้ว่า “งานในวัง” อันเป็นที่มาของชื่อ “งานวังฯ” ที่คนลพบุรีเรียกกันมาจนถึงทุกวันนี้

ตัวอย่างชุดไทยโบราณซึ่งสวมใส่โดยทูตสยาม

เมื่อเทียบกับความทรงจำเก่าๆ แล้ว ต้องยอมรับเลยค่ะว่ากระแสตอบรับที่มีต่องานวังฯ เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากภาพในความทรงจำเมื่อครั้งก่อน ที่เด็กเมืองลิงอย่างเราค่อนข้างอิดออดที่จะต้องแต่งชุดไทยไปโรงเรียนตลอดช่วงเทศกาล (เวลาใส่แล้วทั้งร้อนทั้งคัน 555!) และมองกิจกรรมที่จัดไม่ต่างอะไรกับงานวัดทั่วไปที่เราเข้าไปหาซื้อขนมและของเล่นหลอกเด็ก จะต่างกันหน่อยก็ตรงกิจกรรมการแสดงแสงสีเสียงเท่านั้น จนเมื่อสองสามปีที่ผ่านมา กระแสของละครดังทำให้การแต่งกายด้วยชุดไทยโบราณกลายเป็น “แฟชั่น” อีกอย่าง งานวังฯ ลพบุรีเลยบูมขึ้นอย่างน่าตกใจ มีนักท่องเที่ยวจากนครอื่นหลั่งไหลเข้ามาเยี่ยมชมงานกันอย่างมากมายผิดหูผิดตานะออเจ้าเอย

จากคำบอกเล่าของคนที่บ้าน ปีนี้ก็เช่นกันค่ะที่จำนวนนักท่องเที่ยวยังคงสูงเป็นประวัติการณ์ แต่อาจจะซากว่าปีก่อนหน่อยด้วยกระแสของเชื้อไวรัสโคโรนา ที่เดินทางมาถึงไทยแทบจะพร้อมๆ กัน ถึงอย่างนั้นก็เถอะค่ะ บรรดาร้านรวงที่ขายหรือให้เช่าชุดไทยก็ดูจะคึกคักไม่แพ้ร้านขายขนมของกินจนได้กลิ่นเงินสะพัดสะบัดปลิวไปทั่วเมืองลพบุรีเลยล่ะเจ้าค่ะ

บรรยากาศภายในวังช่วงกลางวัน

เนื่องจากงานวังฯ ในปีนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 14 - 24 กุมภาพันธ์ ตลอด 10 วัน และเนื่องจากบ้านของเรานั้นอยู่ใกล้กับสถานที่จัดงานมาก เราเลยเก็บเล็กผสมน้อย (จริงๆ คือเดินบ่อย เดินจนชิน เลยลืมถ่ายรูป 555) ภาพบรรยากาศภายในงานในช่วงวันและเวลาที่ต่างกันออกไปมาให้ทุกคนได้ดูกันค่ะ

ในวันแรกของงาน แทนที่เราจะเข้าไปเบียดเสียดกับเขาภายในพระนารายณ์ราชนิเวศน์ เราก็อาศัยการดักซุ่มอยู่ริมถนนแถวบ้านเพื่อรอโจมตีขบวนแห่ด้วยแสงแฟลชและชัตเตอร์ ขบวนแห่รอบเมืองซึ่งกลายเป็นประเพณีภาคบังคับพร้อมกับเป็นการประชาสัมพันธ์งานไปในตัว เวลาประมาณ 16 นาฬิกาเศษ หัวขบวนนำโดยพี่ช้าง พี่ม้าและเหล่าผู้ร่วมเดินขบวนทุกคนต่างแต่งกายด้วยชุดไทยโบราณพร้อมเครื่องประดับงดงามตระการตา ไม่ว่าจะเป็นขบวนชุดของเหล่าขุนนาง ราชทูต หรือแม้แต่เหล่าทหารฉกรรจ์ ได้ค่อยๆ พากันชักแถวเดินมุ่งหน้าไปยังวังนารายณ์อันเป็นสถานที่จัดงานหลัก 
หัวขบวนแห่กำลังมุ่งหน้าไปยังพระนารายณ์ราชนิเวศน์

เหล่าทหารหาญในเครื่องแบบโบราณ



ทูตสยามและเหล่าทหารองครักษ์

กลุ่มชาวมอญในจังหวัดลพบุรี

ในคืนวันที่สองของงาน หลังจากหาเสื้อผ้าและเครื่องประดับได้แบบพอหอมปากหอมคอแล้ว เราและที่บ้านก็พากันชักแถวเดินเท้าไปเที่ยวชมบรรยากาศในวังฯ อย่างคนอื่นเขาบ้าง สำหรับใครที่อยู่ไกลหรือมาจากต่างจังหวัด ขอแนะนำให้ไปหาที่จอดรถแต่เนิ่นๆ นะคะ เนื่องจากถนนบริเวณที่จัดงานถูกปิดทั้งหมดเพื่อใช้เป็นพื้นที่สำหรับตั้งร้านรวง ปีนี้เราเห็นว่าเขามีบริการ “รถรางรับ-ส่ง” ฟรีจากบริเวณที่จอดรถใหญ่ๆ ด้วยค่ะ อ้อ!แล้วก็อย่าไปจอดรถใกล้แถวศาลพระกาฬหรือปรางค์สามยอดโดยไม่มีคนเฝ้านะคะ เพราะไม่งั้นรถของคุณอาจกลายเป็นของเล่นของพี่จ๋อเจ้าถิ่นได้ 
บริเวณประตูทางเข้าด้านหน้าพระนารายณ์ราชนิเวศน์



บริเวณถนนหน้าวังฯ ซอยสรศักดิ์ มีของกินของใช้ให้เลือกซื้อมากมาย ตั้งแต่ขนมของกินเล่นไทยโบราณ ผ้าไทย บริการเช่าชุดไทยพร้อมถ่ายรูป ไปจนถึงสารพัดของกินและของใช้ทั่วไปอย่าง แมลงทอด นกกระทาย่าง [ดูวิดีโอ] (อันนี้มันทั่วไปมั้ยน้อ ^^’) และเคสโทรศัพท์มือถือ...ของใช้ที่แสนจะเข้ากันกับธีมงาน 555! ส่วนภายในวังฯ ยามค่ำคืนนั้นถูกประดับประดาด้วยไฟดวงน้อยๆ เรืองอร่ามจำนวนมาก ชวนให้ดูเหมือนฝันมากกว่าบรรยากาศตอนกลางวันที่ร้อนระอุจากไอแดดและมีผู้คนบางตาจนอยากจะแอบเอาปลาเค็มไปตากไว้ ซึ่งมันก็ให้อารมณ์ต่างกันไปนะคะ กลางคืนมีไฟสวยๆ ท่ามกลางบรรยากาศที่คึกคัก ในขณะที่ตอนกลางวันเราสามารถเห็นสีสันของดอกไม้นานาพรรณที่เขายกมาประดับไว้ได้ชัดเจนกว่าและยังไม่ต้องไปเบียดเสียดกับผู้คนเพื่อแย่งกันถ่ายรูปตามจุดต่างๆ หรือโดนคนที่เดินผ่านไปมาแย่งซีนในกล้องของตัวเอง (มันเศร้านะ) เพราะฉะนั้นใครที่มีเวลามากหน่อย ก็อยากแนะนำให้ลองไปเที่ยวในวังฯ ทั้งตอนกลางวันและกลางคืนเลยค่ะ เพราะช่วงเทศกาลนี้เราไม่ต้องเสียค่าเข้าขมค่ะ ยาวไป ยาวปายยย...


ซอยสรศักดิ์ช่วงกลางวัน


ซอยสรศักดิ์ช่วงกลางคืนที่คึกคักขึ้นอย่างผิดหูผิดตา


ตลาดโบราณภายในวัง


บรรยากาศภายในวังฯ ตอนกลางวัน

บรรยากาศภายในวังฯ ตอนกลางคืน


วงดนตรีไทยบรรเลงโดยเหล่านักเรียน จ.ลพบุรี


หน่วยทหารขณะกำลังเปลี่ยนเวรยาม


หน่วยทหารขณะกำลังปฏิบัติหน้าที่

งานวังฯ ปีนี้ต่างจากหลายๆ ปีที่ผ่านมาหน่อย เพราะการแสดงแสงสีเสียงที่เคยจัดขายบัตรให้ชมพร้อมกับการรับประทานอาหารเย็นแบบล้อมวงขันโตกนั้นได้ถูกยกเลิกไป แต่เปลี่ยนเป็นการแสดง “ประวัติศาสตร์จินตนาการ” ที่เปิดให้ชมฟรีทุกค่ำคืน บอกเล่าเรื่องราวของเมืองลพบุรีในสมัยที่องค์สมเด็จพระนารายณ์ทรงได้เจริญสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศจนทำให้เศรษฐกิจการค้าในยุคนั้นเฟื่องฟูอย่างมาก นอกจากนี้ในปีนี้ยังมีการแสดงอีกจุดหนึ่งภายในงานที่ธีมจะแตกต่างกันไปในแต่ละวัน รู้สึกโชคดีมากค่ะที่วันที่เราเข้าไปเดินเล่นนั้นมีการแสดงโขนจากวิทยาลัยนาฏศิลป์ให้ชมพอดี
บรรยากาศภายในวังยามค่ำคืน



ณ เวทีกลาง เสียงพากย์เห่ร้องผ่านเครื่องขยายเสียงดังกึกก้องไปทั่วลานโล่งจนแทบจะระเบิดแก้วหู ผู้คนหนาตาพากันมานั่งชมการแสดงโขนกันอย่างใจจดใจจ่อ เราเดินไปถึงตอนที่การแสดงเริ่มได้สักพักแล้วเลยไม่อาจทราบได้ค่ะว่าเป็นเรื่องราวของรามเกียรติ์ตอนอะไร รู้แต่ว่าท่วงท่าที่นักแสดงร่ายรำประกอบกับเสียงดนตรีนั้นช่างงดงามน่าชม เหล่าลิงและยักษ์ที่แต่งองค์กันอย่างครบเครื่องออกโรงมาฟาดฟันกันด้วยกระบวนท่าสารพัน แต่ไม่น่าเชื่อว่าฉากการแสดงที่จริงจังและน่าเกรงขามนี้จะสอดแทรกอารมณ์ขันน่าเอ็นดูเอาไว้ด้วย นับเป็นการแสดงที่ให้อารมณ์หลากหลายรสและใช้ภาษากายได้อย่างดีเลิศ เพราะแม้แต่นักท่องเที่ยวต่างขาติอย่างแฟนและแม่แฟนเราก็ยังสามารถเข้าใจเนื้อเรื่องได้จากท่าทางของนักแสดงโดยไม่ต้องให้เราแปลสักคำเลยล่ะค่ะ (ชอบใจสุดก็ตรงนี้ 555)
[ดูวิดีโอ]

ผู้ชมจำนวนหนาตากำลังชมการแสดงโขนอย่างใจจดใจจ่อ


เหล่านักแสดงกำลังร่ายรำประกอบเสียงพากย์และเสียงดนตรีอย่างน่าชม



ถัดจากลานเวทีกลางมา ภายในบริเวณสวนนารายณ์นฤมิตรที่มีฉากและพร็อพมากมายไว้ให้ผู้มาเที่ยวชมงานได้เข้าไปถ่ายรูปกันรัวๆ คลาคล่ำไปด้วยผู้คนชวนให้บรรยากาศดูอึกทึกคึกคักและมีสีสัน คนส่วนใหญ่ที่มาร่วมงานเลย “จัดเต็ม” ปล่อยของปล่อยเครื่ององค์ที่ขนมากันอย่างเต็มที่ วันนึงเราบังเอิญเจอผู้ชายคนนึง ซึ่งมาเหนือมากค่ะ แต่งเป็นเงาะป่า จูงมือมากับรจนาตัวน้อยที่เราเดาเอาว่าน่าจะเป็นลูกสาวของเขาเอง ไปถ่ายรูปตอนเสี่ยงมาลัยบนฉากที่เขาจัดไว้ให้ด้วยค่ะ ซึ่งเรียกความสนใจคนที่มาเดินเที่ยวแถวนั้นไปแบบเต็มๆ ด้วยความน่ารักน่าเอ็นดูของทั้งคู่ 


รจนากำลังโพสต์ท่าขณะเสี่ยงพวงมาลัยให้เจ้าเงาะ
น่ารักได้อีก ❤️

บรรยากาศในสวนนารายณ์นฤมิตรตอนกลางวัน

แล้วเราก็เดินตัดลัดสวนนารายณ์นฤมิตรเพื่อมุ่งหน้าไปชมพรรณไม้งามๆ ณ บริเวณพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ แสงไฟระย้าย้อยห้อยจากไม้ใหญ่เยี่ยงเถาวัลย์แลดูเด่นชัดในยามค่ำคืนเปล่งรัศมีแข่งกับมวลไม้ดอกหลากสีและชนิดช่วยขับให้บรรยากาศในลานแห่งนี้ดูอลังตระการตาขึ้นอีกเป็นหลายสิบเท่าตัว ไม่แปลกใจเลยล่ะค่ะว่าทำไมใครๆ ถึงพากันมารวมตัวอยู่ทั่วบริเวณนี้ พร้อมโพสต์ท่าให้ช่างภาพส่วนตัว (ทั้งมือโปรและจำเป็น) กดชัตเตอร์กันแบบไม่ยั้ง แถมบางคนยังถึงขนาดยกทีมผู้ช่วยถือรีเฟล็กซ์และกองช่างแต่งหน้ามาด้วยนะคะ จนแฟนเราถามด้วยความไร้เดียงสาว่าเขามาถ่ายแบบไปลงนิตยสารกันหรอ แหะๆ เรานี่เขินแทน ไม่รู้จะตอบยังไงเลยค่ะ
ย่ำค่ำบริเวณพระที่นั่งสุทธาสวรรย์





เดินเที่ยวอยู่พักใหญ่ ความหิวไม่เข้าใครออกใคร เราเลยพากันมาหยุดพักและหาอะไรใส่ท้องกันบริเวณตลาดย้อนยุคและสวนอาหารพื้นบ้าน หากจะพูดถึงรสชาติและความพิเศษของอาหารในงานนั้นคงไม่มีอะไรแตกต่างหรือโดดเด่นจากร้านที่อยู่นอกงานแต่อย่างใด แต่สำหรับใครที่อยากอินกับบรรยากาศไท้ย-ไทยในงาน การนั่งรับประทานอาหารบนแคร่ไม้และแลกเงินพดด้วงมาใช้ก็คงเป็นประสบการณ์ที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อยทีเดียวค่ะ อ้อ! แล้วที่สวนอาหารพื้นบ้านนี้ ตอนกลางวันเขามีโชว์ละครลิงให้ดูด้วย เราไปชมมารอบนึงค่ะแต่แอบผิดหวัง เพราะละครลิงที่ว่าไม่ได้เล่าเรื่องราวในลักษณะละครเหมือนที่เราเคยดูเมื่อตอนเป็นเด็กๆ แต่เป็นเหมือนโชว์กายกรรมลิงเสียมากกว่า ไม่ว่าจะเป็น ลิงที่ทำท่าลิปซิงค์ (lip sync) ร้องเพลง  [ดูวิดีโอ] โชว์กระโดดลอดห่วง  [ดูวิดีโอ] หรือโชว์เก็บลูกมะพร้าว แต่ดูท่าว่าโชว์นี้จะถูกใจพวกเด็กเล็กๆ อยู่ไม่น้อยเลยค่ะ เพราะเมื่อจบการแสดงแล้ว เด็กๆ ก็พากันกรูเข้าไปให้ทิปลิงบ้าง ขอจับมือลิงบ้าง ประหนึ่งแม่ยกที่ชอบใจพระเอกลิเกคนโปรด หรือติ่งเกาหลีเวลาเจอโอปป้าอย่างไงอย่างงั้น  ยังดีนะที่ไม่มีใครขอหอมแก้มลิง 555

 
แวะหาอะไรใส่ท้องที่สวนอาหารพื้นบ้านในบรรยากาศไทยๆ


โชว์ลิปซิงค์โดยสาวน้อยกาญจนา





เหล่าซุป'ตาร์พบปะเด็กๆ หลังจบการแสดง


นอกจากบริเวณภายในงานที่จัดใช้พื้นที่อย่างคุมค่าสมราคาโฆษณาแล้ว ยังมีจุดที่เป็น Unseen in Lopburi สำหรับงานนี้อยู่ด้วยค่ะ นั่นก็คือวัดพระศรีรัตนมหาธาตุอารามในอันเก่าแก่ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากพระนารายณ์ราชนิเวศน์ แต่กลับกลายเป็นมุมเร้นลับที่ไม่ค่อยมีใครรู้ ซ่อนตัวอย่างเปิดเผยอยู่บริเวณตรงข้ามสถานีรถไฟลพบุรี ยามกลางวันแม้แสดงแดดจะแผดเผาจนเราแทบจะร้องขอชีวิต แต่วัดพระศรีฯ แห่งนี้ในยามค่ำคืนกลับให้ความรู้สึกที่เย็นสบาย และบรรยากาศอันแสนสงบจนเราจะไม่แปลกใจเลยถ้ามีใครเข้ามานั่งสมาธิหรือเล่นโยคะในวัด 55 อันหลังนี้ล้อเล่นนะคะ 
ภายในวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ

ต้นลั่นทม (เดี๋ยวนี้เขาเรียกว่าลีลาวดีแล้วสิ) น้อยใหญ่ที่เว้นระยะห่างประหนึ่งเตรียมตัวมาพร้อมรับสถานการณ์โควิด ออกดอกเป็นพุ่มขาวสวยหนาแน่นยิ่งกว่าใบเขียวๆ ที่มีอยู่บนกิ่งก้าน เหล่าไม้งามพร้อมกลิ่นหอมช่วยขับให้พื้นที่ภายในบริเวณวัดดูสงบร่มเย็นและสบายตายิ่งขึ้นเมื่อถูกประดับประดาด้วยไฟดวงน้อยๆ สีขาวโพลน เสียงเครื่องดนตรีไทยแว่วแผ่วมาจากเครื่องขยายเสียงคลอไปกับบรรยากาศอันร่มรื่น หากใครชอบความสงบไร้ร้างผู้คนเป็นฝูงแนะนำให้มาเดินเล่นในนี้เลยค่ะ งานนี้เช้าชมฟรีเช่นกัน




ต้นลีลาวดีพร้อมไฟขาวประดับอยู่อย่างละลานตา


สำหรับใครที่อยากมาเที่ยวงานวังฯ ลพบุรีในปีต่อๆ ไปหรืออยากมาเที่ยวลพบุรี หรือมีข้อสงสัยอะไรก็ตามเกี่ยวกับจังหวัดลพบุรีก็ถามมาได้นะคะ ถ้าตอบได้ก็ยินดีจะช่วยตอบเต็มที่ค่ะในฐานะเจ้าถิ่นเก่า ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ 😊



English Version click here

Special Thanks: Co-Photographer Sylvie Colon

Comments

Post a Comment

Popular posts from this blog

เที่ยว Lyon ลงไปทำอะไรดี

8 ของดีเมือง Annecy มาทั้งทีควรโดน

เที่ยวตลาดคริสต์มาสส่งท้ายปีที่ Cologne