นี่จะเรียกว่าเป็นการเที่ยวนอกแผนเที่ยวครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตเลยก็ได้ค่ะ
เพราะนอกจากจะเป็นการเที่ยวในดินแดนต่างบ้านต่างเมืองแล้ว
ภาษาที่ใช้ก็อย่างต่างกันชนิดที่ว่ามาจากคนละรากเหง้าอีกด้วย
10 ชม.ที่แล้วเรากับคุณแฟน (มะแว้ง) ยังลอยอยู่เหนือน่านฟ้าเมืองไทย
แต่เมื่อลืมตาตื่นมาอีกทีก็มาโผล่ที่เมือง Helsinki (เฮลซิงกิ) ประเทศฟินด์แลนด์แล้ว
เราเช็คตารางเที่ยวบินรอบถัดไปของเรา เหลือเวลาตั้งอีก 13 ชม.กว่าเครื่องจะพาเราไปส่งที่ปารีส
ด้วยประเภทวีซ่าที่เราสองคนถือทำให้ตัดสินใจได้ไม่ยากว่าจะยอมนั่งรอแกร่วอยู่ในสนามบิน
หรือออกไปยืดเส้นยืดสายข้างนอกดี
แม้จะมีภาษาฟินแลนด์และสวีเดนเป็นภาษาราชการ
แต่ต้องยอมรับเลยค่ะว่าชาวนอร์ดิกนั้นใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่วแทบทุกคนจนเราเบาใจในการออกไปผจญภัยในตัวเมือง
Helsinki ได้มากเลยล่ะค่ะ
หลังจากสอบถามจนได้ความ เราจับรถบัสจากสนามบินกินเวลาประมาณ
40 กว่านาทีมาลงยังบริเวณ Helsinki Railway Square จตุรัสอันเป็นจุดศูนย์รวมรถโดยสารประจำทางอันดับสองรองจาก Kamppi Center
|
บรรยากาศบริเวณ Helsinki Railway Square
|
เมื่อไม่มีแผนและเป้าหมายใดๆ
เราสองคนจึงตัดสินใจเดินชมนกชมไม้ชมสถาปัตยกรรมบ้านเมืองเขาไปเรื่อยๆ จนมาเจอกับรูปปั้นของบุคคลสำคัญ
Aleksis Kivi นักประพันธ์ชื่อดังแห่งวงการงานเขียนในฟินแลนด์ ผู้สร้างสรรค์นวนิยาย ‘The Seven Brothers’ ทุกวันนี้ผลงานชิ้นนี้ของเขายังคงขึ้นหิ้งเป็นนวนิยายทิ่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่เคยมีมาในวงการวรรณกรรมฟินแลนด์
|
รูปปั้น Aleksis Kivi นักประพันธ์ผู้กลายเป็นตำนานแห่งวงการวรรณกรรมฟินแลนด์
|
เบื้องหลังรูปปั้นคุณปู่ Aleksis คือโรงละครแห่งชาติฟินแลนด์ที่สร้างแล้วเสร็จพร้อมเปิดใช้งานในปี
1902 ลงละครแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาในไตล์ Romantic nationalism ซึ่งนับว่าเป็นอาร์ตนูโว
(Art Nouveau) รูปแบบหนึ่ง ตรงข้ามกันกับโรงละคร
เมื่อหันหลังกลับไปเราก็จะพบกับ Ateneum
พิพิธภัณฑ์ศิลปะซึ่งเก็บรวบรวมงานศิลปะยุคคลาสสิกของฟินแลนด์และของต่างประเทศไว้มากมาย
(นี่แอบเสียดายค่ะที่เราไม่ได้เข้าไปดู)
|
โรงละครแห่งชาติตั้งอยู่ทางทิศเหนือของจตุรัสรถไฟ |
|
พิพิธภัณฑ์ศิลปะ Ateneum ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของจตุรัสฯ
|
เราเดินเตร็ดเตร่ออกจากจัตุรัสขึ้นเหนือเรื่อยมาจนถึง Kaisaniemi
Park
สวนสาธารณะใจกลางเมือง Helsinki ก่อนจะเดินย้อนกลับมาที่ Esplanadi อุณหภูมิสิบกว่าองศาพร้อมแดดอ่อนๆ ชวนให้ผู้คนมากมายมารวมตัวกันโดยมิได้นัดหมาย ณ
สวนสาธารณะในย่านดาวน์ทาวน์แห่งนี้
|
สวนสาธารณะ Kaisaniemi Park
|
|
แม้แต่พี่เป็ดก็ยังมานั่งอาบแดดกันในวันอากาศดี |
|
รถรางประจำเมืองบริเวณย่านดาวน์ทาวน์ |
|
เด็กๆ ตื่นเต้นกับโชว์ฟองสบู่ ณ สวนสาธารณะ Esplanadi หน้ารูปปั้น John Runeberg
|
ได้ยินมาว่าที่ Helsinki มีเรือนำเที่ยวเกาะด้วยค่ะ พวกเราคิดว่าเป็นกิจกรรมที่น่าสนใจดีเลยเร่งฝีเท้าเพื่อไปให้ทันเรือเฟอร์รีรอบถัดไป
และนับว่าเป็นโชคดีค่ะ เพราะจังหวะที่เราไปถึงท่าเรือบริเวณ Market Square ก็มีเรือมาเทียบพอดี เราสองคนรีบซื้อตั๋วแล้วกระโดดขึ้นไปจับจองที่นั่งที่เห็นวิวได้ถนัดๆ
ก่อนที่จะปล่อยให้กัปตันเรือทำหน้าที่ของแกไป
|
ท่าเรือเฟอรรีบริเวณ Market Square
|
|
SkyWheel Helsinki จากมุมมองบนเรือ
|
เพียงราวๆ 15 นาทีต่อมา เราก็มาถึงกลุ่มเกาะอันเป็นที่ตั้งของ Suomenlinna ป้อมปราการกลางทะเลที่ยูเนสโกได้ทำการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกอีกแห่งหนึ่ง
|
กลุ่มเกาะอันเป็นที่ตั้งของป้อมปราการ Suomenlinna
|
ถูกครอบครองโดยรัสเซียยาวนานร่วม 110 ปี
ป้อมปราการแห่งนี้ได้รับเอกราชอีกครั้งในปี 1918 นอกจากจะเป็นอนุสรณ์สถานแห่งสงครามแล้ว
ทุกวันนี้ที่นี่ยังเป็นศูนย์รวมกิจกรรมสันทนาการแห่งสำคัญที่ผู้คนพากันมาปิกนิก
พักแรม หรือแม้แต่จิบกาแฟยามบ่ายกับผองเพื่อน
|
บ้านไม้เก่าสีหวานในย่านการค้ารัสเซียเก่าที่ปัจจุบันถูกดัดแปลงมาเป็นร้านกาแฟน่ารักๆ |
เราไปเดินเล่นรอบๆ โบสถ์แห่ง Suomenlinna โบสถ์นิกายออร์โธดอกซ์ตะวันออก
สร้างขึ้นในปี 1854 สำหรับกองกำลังทหารรัสเซีย แต่เดิมทีโบสถ์แห่งนี้ประกอบด้วยยอดโดมทรงหัวหอม
5 ยอด แต่ถูกปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ไปในปี 1918
ให้กลายเป็นโบสถ์นิกายอีแวนเจลิค – ลูเธอรัน
และเพื่อแสดงความเป็นเอกราชหลุดพ้นจากการครอบครองของรัสเซีย ทางเมืองจึงรีบเอายอดโดมทรงหัวหอมทั้งสี่หัวออก
เหลือไว้เพียงหอมหัวเดียวบนหอคอยใหญ่ดังที่เราเห็นในปัจจุบัน
|
โบสถ์ Suomenlinna จากมุมมองระยะไกล
|
|
ระฆังโบสถ์ Suomenlinna หล่อขึ้นที่รัสเซีย เป็นระฆังที่ใหญ่ที่สุดในฟินแลนด์ หนัก 6.6 ตัน |
และอย่างที่บอกไปตั้งแต่แรกว่านี่เป็นการเที่ยวนอกแผนเที่ยว
ไร้สัญญาณโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตใดๆ
เราเน้นการเดินชมนกชมไม้ชมสิ่งปลูกสร้างอย่างแท้จริง ทำให้เราพลาดชมอีกหลายๆ
จุดบนเกาะไป ไม่ว่าจะเป็น King’s Gate – ประตูหลักทางเข้าป้อมปราการ อู่เรือแห้ง (dry
dock) อนุสรณ์สถานค่ายเชลยศึก ลานจัตุรัสศูนย์กลางป้อมปราการ
ฯลฯ ที่มารู้อีกทีก็ตอนกลับมาค้นดูข้อมูลที่บ้านค่ะ 😅
ด้วยเวลามีน้อย
ประกอบกับมะแว้งที่ทนความหนาวต่อไปไม่ไหว (ก็เล่นใส่กางเกงขาสั้นลากแตะมาจากไทย 😅) เราเลยตัดสินใจนั่งเรือกลับฝั่งกันค่ะ
เป็นเวลาที่พระอาทิตย์เริ่มเรี่ยต่ำพอดี ทำมุมองศากระทบกับพื้นน้ำได้อย่างน่ามอง
เมื่อถึงฝั่งก็ชักหิว อยากจะลองอาหารพื้นเมืองของฟินแลนด์ชิมแต่หาไม่ได้เลยค่ะ
เลยดิ่งเข้าหาร้านที่เราคิดว่าน่าจะถูกปากเราสองคนที่สุด จนมาลงเอยที่ร้านอาหารเนปาลบริเวณจตุรัสที่เราจะต้องขึ้นรถกลับสนามบิน
หน้าตาและรสชาติของอาหารที่ทางร้านนำมาเสิร์ฟนั้นใกล้เคียงกับบรรดาอาหารอินเดียที่เคยกินมากๆ
จะต่างกันนิดหน่อยตรงที่ว่าอาหารเนปาลไม่ใส่ครีม
และข้าวที่เสิร์ฟก็เป็นข้าวหุงเปล่าๆ ไม่ได้ใส่เครื่องเทศหอมๆ เหมือนของอินเดียค่ะ
ตรงนี้ถ้าเราเข้าใจผิด หรือมีแต่เฉพาะร้านนี้ที่เสิร์ฟแบบนี้ก็ช่วยชี้แนะด้วยนะคะ
|
ท่าเรือเฟอร์รี Suomenlinna
|
|
อาหารเนปาลหน้าตาคล้ายอาหารอินเดียแถมยังหอมเครื่องเทศเหมือนกันด้วย |
เราสองคนพยุงร่างหนักๆ หนังท้องตึงๆ
ออกมารอรถบัสสายเดิมที่จะพาเรากลับไปยังสนามบิน
ด้วยอากาศที่ยะเยือกประกอบกับลมแรงทำให้บริเวณจตุรัสค่อนข้างไร้ร้างผู้คนซึ่งต่างจากบรรยากาศเมื่อตอนกลางวันอย่างเห็นได้ชัด
อ๊ะ! นั่นค่ะ
รถที่เรากำลังรอมานู่นแล้ว ใกล้จะได้พักร่างที่ใช้มาตลอดสิบกว่าชั่วโมงเสียที
แม้จะแค่ 2 ชั่วโมง
แต่ก็น่าจะช่วยให้เราได้เติมพลังก่อนที่จะต้องไปแบกกระเป๋าเดินทางใบโตกลับบ้านกันต่อ -
แล้วไว้พบกันใหม่เดือนหน้านะคะ 😉
Comments
Post a Comment