English version click here
หาดใหญ่ไม่ใช่เมืองที่อยู่ในแผนการเที่ยวของเราเลยสักครั้งที่กลับมาไทย
แต่รอบนี้เราตัดสินใจนั่งๆ นอนๆ บนรถไฟข้ามคืนมาถึงที่นี่ก็เพราะเพื่อนรุ่นน้องที่เราอยากมาเยี่ยมหาบังเอิญจับพลัดจับผลูย้ายมาอยู่ที่นี่ค่ะ
เราที่เป็นคนชอบเที่ยวแบบมีคนพื้นที่นำทางอยู่แล้วก็เลยไม่ลังเลที่จะแพ็กกระเป๋าออกเดินทางอีกครั้ง
หลังจากไม่ได้ขยับไปไหนถึง 5 เดือนเต็มๆ เพราะการระบาดของโควิด-19 ระลอกแรก
สิบกว่าชั่วโมงบนรถไฟจากอำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์พาเรามาหยุดอยู่ที่สถานีชุมทางหาดใหญ่ในตอนเช้าตรู่
เพื่อนสาวเจ้าถิ่นมารอรับเราไป ‘จัดหนัก’ ตั้งแต่ยังไม่หาย jet lag จากรถไฟที่นั่งมา
ที่ว่าจัดหนักก็เพราะนางพาเราไปกินมื้อเช้า ‘หนักๆ’
ตามสไตล์คนใต้เชื้อสายจีนอย่าง ‘ติ่มซำ’
นั่นเองค่ะ
|
ภายในสถานีชุมทางหาดใหญ่
|
เมื่อก่อนเคยไปเที่ยวตรังอยู่บ่อยๆ เราเลยไม่ค่อยตกใจกับวิถีการทานอาหารเช้าแบบนี้
ด้วยรู้มาว่าแต่ช้านานมาแล้ว คนใต้ทำการประมงเป็นอาชีพหลัก ซึ่งเวลาในการออกเรือก็จะเป็นช่วงกลางคืนค่ำมืดและกว่าจะได้เลิกงานกลับขึ้นบกอีกครั้งก็ช่วงใกล้ฟ้าสางพอดี
เลยต้องมีการทดแทนพลังที่หมดไปกับการหาปูหาปลาตลอดคืนด้วยอาหารหนักท้องและอร่อยลิ้นอย่างติ่มซำและชากาแฟนี่แหละค่ะ
ส่วนพวกเราที่สูญเสียพลังงานไปกับการนอนบนรถไฟมาอย่างเต็มที่มีหรือจะยอมแพ้
เมื่อถึงร้านก็พุ่งเข้าไปหาโต๊ะว่างที่ลูกค้าก่อนหน้าเพิ่งละไปแบบเก้าอี้ยังอุ่นๆ
ก่อนจะสั่งเครื่องดื่มและเดินไปเลือกหยิบติ่มซำเข่งที่อยากกินอย่างไม่ต้องปรึกษากันเลยทีเดียว
|
บรรยากาศอันแสนครึกครื้นของพนักงานร้าน
|
|
ตัวเลือกมากมายละลานตา
|
|
เห็นเยอะๆ แบบนี้ แต่สุดท้ายก็หมดเกลี้ยงนะคะ 😆
|
ด้วยเวลาเที่ยวที่มีน้อย (3 วัน 2 คืน) จึงต้องเที่ยวแบบชะโงกทัวร์เบาๆ
ออกจากร้านติ่มซำปุ๊บ พวกเราก็พุ่งไปที่สวนสาธารณะเทศบาลนครหาดใหญ่
ดิ่งขึ้นไปสักการะ ‘พระพุทธมงคลมหาราช’ พร้อมชมทัศนียภาพเมืองหาดใหญ่จากมุมสูงกันแบบเกือบ
360 องศา
|
พระพุทธมงคลมหาราช พระพุทธรูปประจำเมืองหาดใหญ่ที่สูงถึง 19.9 เมตร
|
|
ภาพพาโนรามาของเมืองหาดใหญ่จากมุมสูง |
จากนั้นเราก็มาแวะ (เรียกว่า ‘เลย’ น่าจะเหมาะกว่า) มาชะโงกดูหาดสมิหลา
ซึ่งสถานการณ์เหมาะกับคำว่าชะโงกจริงๆ ค่ะ เพราะทันทีที่เท้าเหยียบพื้นหาด
ฝนและเมฆสีเทาก็ตั้งเค้าขู่เรามาแต่ไกล
เดินเลาะหาดยังไม่ทันได้ถ่ายรูปคู่กับนางเงือกในตำนานฟ้าก็รั่วลงมาแบบไม่เห็นใจกันเลยทีเดียว
รอฝนหยุดอยู่สักพักก็ยังไม่มีทีท่าว่าพี่แกจะหยุดง่ายๆ เราเลยขึ้นรถหนีมาถึงตัวเมืองสงขลาที่เต็มไปด้วยอาคารบ้านเรือนอันน่าตื่นตา
แต่พี่ฝนก็ยังตามมากวนอย่างไม่ลดละ พวกเราที่ยังไม่ทันได้ทอดสมอดีเลยขับรถหนีต่อ กลับมาที่ทางเข้าตัวเมืองหาดใหญ่ที่ดูไร้วี่แววของสายฝนและเมฆดำ
|
เมฆดำตั้งเค้ามาแต่ไกล |
|
แอบส่องดูรูปปั้นเงือกทองในตำนาน
|
|
สายฝนโหมกระหน่ำ ณ ถนนนางงาม
|
|
สตรีทอาร์ทคอนเซปต์เก๋ๆ กลางเมืองสงขลา |
‘มัสยิดกลางดิย์นุลอิสลาม’ หรือ ‘มัสยิดกลางสงขลา’ เป็นมัสยิดที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นทัชมาฮาลแห่งเมืองไทยตั้งตระหง่านอยู่หลังสระน้ำยาว
เงาสะท้อนรูปสมมาตราจากน้ำช่วยขับเน้นความงามของสิ่งปลูกสร้างแห่งนี้ให้คมชัดยิ่งขึ้น
ตากล้องมืออาชีพมือสมัครเล่นต่างมารวมตัวกัน ณ ที่แห่งนี้ เวลานี้ โดยนัดหมายกันบ้างและไม่ได้นัดหมายกันบ้าง
นักท่องเที่ยวอย่างเราก็ไม่พลาดที่จะคว้าโอกาสนี้กระโดดเข้าร่วมวงรัวชัตเตอร์กับเขา
ด้วยเพราะอยากเก็บภาพอันตรึงตราตรงหน้าไว้เป็นระลึก
|
มัสยิดกลางสงขลากับสระน้ำยาวกว่า 200 เมตร
|
|
พระอาทิตย์ยิ่งลับขอบฟ้า ภาพตรงหน้าก็ยิ่งงดงาม
|
|
ช่วงเวลาอันตราตรึงจนลืมทุกสิ่งอย่าง |
-------------------------------------------------------
วันที่สองของการเดินทาง
เนื่องด้วยเพื่อนสาวต้องทำงาน อันเป็นเรื่องที่เราทำใจไว้ก่อนหน้านี้อยู่แล้ว
เราที่ไม่ได้มีแผนตายตัวในการเยี่ยมชมสถานที่เลยตัดสินใจจับรถโดยสารประจำทางจากอ.หาดใหญ่
มุ่งหน้ากลับไปยังอ.เมืองสงขลาที่เราพลาดยลโฉมเมื่อวาน “ต้องกลับไปซ้ำ” เราบอกมะแว้ง
ผู้ซึ่งเป็นทั้งแฟนและเพื่อนร่วมเดินทาง
บนถนนนางงาม ตึกสไตล์ชิโน-โปรตุกีส (Sino-Portuguese) หลากสีเรียงรายไล่ไปตลอดแนว เราเดินสำรวจอยู่ไม่นานท้องก็ร้องหาของอร่อย
จึงเดินไปยังร้านข้าวสตูร้านดังที่เล็งไว้เมื่อวาน แต่เหมือนเราจะมาช้าไป
เขาขายดีขายหมดตั้งแต่เที่ยงๆ แล้วล่ะค่ะ มองรอบๆ
แถวนั้นก็เหมือนจะมีแต่ของกินเล่น แต่แล้วคุณลุงเจ้าของร้านหนังเก่าก็แนะนำให้ไปลองชิมอาหารจีนฝั่งตรงข้ามที่ดูขลังไม่แพ้กัน
อาหารรสโอชาที่ตกถึงท้องช่วยปลอบประโลมความหิวและทดแทนความอยากเมื่อครู่ไปได้ไม่น้อยทีเดียว
|
งานสตรีทอาร์ทบริเวณถนนนางงาม |
|
งานสตรีทอาร์ทริมรั้วศาลเจ้าพ่อหลักเมือง |
|
คุณลุงเจ้าของร้านหนังเก่าผู้มีอัธยาศัยดีและคุยเก่ง |
|
ร้านอาหารจีนที่คุณลุงแนะนำ |
|
ปลากะพงผัดใบกะเพรา |
|
เต้าหู้ราดหน้ากุ้งสับ |
จากถนนนางงามอันเต็มไปด้วยตึกรามและร้านรวง เราเดินชักภาพเพลินจนโผล่มายังถนนรามัญและถนนนครใน
บ้านเรือนและร้านค้าส่วนใหญ่ปิดประตูเงียบกริบ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพิษโควิดหรือนี่คือบรรยากาศปกติก็ไม่อาจทราบได้
เราเดินจนเหงื่อย้อยวกกลับมาที่ถนนนางงามอีกครั้ง หมายเก็บรูปงานสตรีทอาร์ทที่ยังตกหล่น ก่อนจะแวะซื้อกะลอจี๊ให้มะแว้งชิม
เพราะเห็นร้านเขาทำได้น่ากินดี แล้วก็โฉบเข้ามานั่งสั่งไอศกรีมที่ร้านไอติมโอ่งอันลือชื่อ
|
งานสตรีทอาร์ทแสดงภาพวิถีชีวิตของคนสงขลา
|
|
อาคารสไตล์จีน-โปรกุเตสอันเก่าแก่
|
|
ขนมกะลอจี๊ร้อนๆ
|
ไอศกรีมกะทิและลิ้นจี่ในโอ่งใบน้อยถูกยกมาเสิร์ฟตรงหน้าช่วยเราดับร้อนได้เป็นอย่างดี
เนื่องจากเป็นวันธรรมดา
ระหว่างกินก็สังเกตเห็นว่าลูกค้าส่วนใหญ่ที่มาใช้บริการจะเป็นผู้ปกครองที่เพิ่งรับลูกออกมาจากโรงเรียนฝั่งตรงข้าม
ซึ่งนอกจากไอศกรีมโอ่งที่เด็กๆ สั่งแล้ว หลายๆ โต๊ะก็ยังสั่งลูกชิ้นปลาทอดมากินด้วย
แม้เรากับมะแว้งจะไม่ใช่แฟนลูกชิ้นปลา แต่พวกเราก็อดสงสัยในรสชาติของมันไม่ได้
เลยสั่งมาชิมลางก่อน 3 ไม้ เจ้าของร้านมองหน้าเรางงๆ ว่าทำไมสั่งน้อยจัง เราเลยอธิบายว่า
“ไม่ชอบกินลูกชิ้นปลาแต่อยากลองค่ะ”
|
ร้านไอติมโอ่งอันโด่งดังประจำย่าน |
|
ไอติมโอ่งรสลิ้นจี่ |
ครั้งแรกที่ลูกชิ้นลูกน้อยเข้าปากพวกเรา เพื่อนๆ ของมันก็ตามลงมาสมทบในกระเพาะแบบไม่ขาดสาย
สุดท้ายเรากับมะแว้งก็สั่งลูกชิ้นปลามากินอีกเป็นครั้งที่สองและสาม
สรุปยอดรวมทั้งสิ้น 20 ไม้ถ้วน
เจ้าของร้านถึงกับอมยิ้มตอนที่เราสั่งและจ่ายเงิน
ต้องยอมรับเลยค่ะว่าเป็นลูกชิ้นปลาทอดที่อร่อยที่สุดตั้งแต่เคยกินมา
ทุกวันนี้เรากับมะแว้งยังนึกถึงลูกชิ้นปลาร้านไอติมโอ่งกันอยู่บ่อยๆ
เลยค่ะ 😆
|
ลูกชิ้นปลาชุบแป้งทอดสุดอันตราย - กินแล้วหยุดไม่ได้เลยค่ะ |
ก่อนลาถนนนางงาม เราแวะซื้อขนมไทยเป็นทั้งของฝากให้ตัวเองและคนที่บ้าน
ที่ร้านนี้มีขนมที่หาทานได้ยากอย่างสัมปันนีและทองเอกด้วย
แถมหน้าตาและรสชาติก็ต่างจากที่เราเคยชิมแล้วรู้สึกไม่ประทับใจเอามากๆ
เราเลยเหมาทั้งสองอย่างนี้ไปหลายถุงและหลายกล่องเลยล่ะค่ะ
เสียดายว่าถ้าเก็บไว้ได้นานกว่านี้ก็จะซื้อมาตุนอีก เพราะยิ่งกินก็ยิ่งเพลิน นุ่ม
หวานลิ้นกำลังดี ไม่มีเลี่ยน
|
ขนมไทยหายากมากมายวางจำหน่ายภายในร้าน |
|
เก็บตกงานสตรีทอาร์ท |
นั่งรถกลับมาถึงหาดใหญ่ ได้เวลาที่เพื่อนเลิกงานพอดี
พอถามจนได้ความว่าวันนี้พวกเราไปเที่ยวไหนกินอะไรมา
เพื่อนเลยบอกว่าจะพาไปเปลี่ยนบรรยากาศมั่ง จากอาหารสไตล์จีนเมื่อตอนกลางวัน
เราก็ปรับโหมดมาเป็น ‘ฮาร์ดคอร์’ กับอาหารเมนูใต้อันร้อนแรง ทั้งน้ำพริกกะปิ แกงไตปลา และผัดสะตอรสจัดจ้าน
ทานคู่กับผักสดที่เขายกมาให้เป็นกระบุง เรานี่ติดใจแกงไตปลาของที่ร้านถึงขนาดขอซื้อกลับบ้านมาด้วยล่ะค่ะพอรู้ว่าสามารถเก็บไว้ในตู้เย็นได้หลายวันอยู่
|
อาหารใต้รสจัดจ้าน ใครชอบทานเผ็ดต้องมาโดน
|
“คนไทยนี่เวลาเจอกันมีแต่เรื่องกินเนาะ” เรานึกถึงคำของมะแว้งกับแม่ของนางเมื่อคราวมาเยือนเมืองไทยรอบที่แล้ว
ซึ่งเราก็ไม่เถียงค่ะ! เพราะต่อจากมื้อเย็นรสจัดจ้านเราก็มาล้างปากกันด้วยของหวานที่ร้านชาชักแห่งหนึ่ง
ดูแล้วที่นี่คงจะเป็นแหล่งรวมตัวของวัยรุ่นหนุ่มสาวโดยเฉพาะชาวมุสลิมที่เคร่งครัดในการละเว้นจากการดื่มสุรา
โรตีแผ่นบางกรอบถูกเสิร์ฟเคียงคู่ชาชักร้อนๆ
คืนนี้เมื่อหัวถึงหมอนเราคงนอนหลับสบายอย่างไม่ต้องสงสัย
|
ชาชักร้อนๆ รสหวานละมุน
|
|
โรตีแผ่นบางกรอบที่ขนาดใหญ่เกินจานไปไม่น้อย ความอร่อยก็เช่นกัน
|
-------------------------------------------------------
วันที่สาม วันเดินทางกลับ
ด้วยเวลารถไฟที่ออกจากชุมทางหาดใหญ่เป็นรอบ 6
โมงเย็น
เราจึงมีเวลาโต๋เต๋ในเมืองอีกสักพักใหญ่ เราเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมแต่ขอฝากกระเป๋าไว้ ก่อนจะออกไปทานมื้อกลางวันกับเพื่อนที่นัดกันไว้ ป้ายและบรรยากาศของร้าน ‘อ้า’ บ่งบอกถึงความเก่าแก่และเก๋าเกม ป้ายอาหารทุกรายการมีเมนูภาษาจีนประกอบ
เมื่อเห็นร้าน เพื่อนคนจีนรีบส่งภาษาให้กับพนักงานในร้าน แต่พนักงานสาวกลับทำหน้างงพร้อมหันมามองเราเหมือนขอความช่วยเหลือ
เราไม่แปลกใจเลยค่ะว่าทำไมทั้งคู่สื่อสารกันไม่รู้เรื่อง เพื่อนเราพูดจีนกลาง
ในขณะที่ทางร้านพูดแต้จิ๋ว เราที่ฟังออกบ้างไม่ออกบ้างทั้งสองภาษา
รู้แค่ว่าพวกเขาไม่ใช่คนบ้านเดียวกันแน่ๆ เลยรีบตัดบทสั่งอาหารเป็นภาษาไทย อาหารทั้งหมดถูกนำมาวางเรียงรายตรงหน้าในไม่กี่อึดใจต่อมา
พวกเราก็ก้มหน้าก้มตาตักอาหารเข้าปากแบบไม่เหลือไว้ให้เสียดายในไม่กี่อึดใจเช่นกัน
|
น่าทานทุกเมนู และอร่อยทุกเมนู
|
จากนั้นเราก็ลาเพื่อนผู้เดินทางจากกทม.มาถึงหาดใหญ่ด้วยจักรยาน
(ค่ะ อ่านไม่ผิดหรอกค่ะ 😃) ก่อนจะไปเดินช็อปปิ้งหาซื้อของฝาก ณ ตลาดกิมหยงก่อนกลับบ้าน ผลไม้ ปลาแห้ง ขนม
และเมล็ดถั่วสารพัดชนิดคือของขึ้นชื่อของตลาด
เราได้อัลมอนด์กับพิตาชิโอกลับไปฝากพ่อและไว้กินเองหลายขีด
นอกจากนี้ยังมีขนมนำเข้าจากมาเลเซียอีกเล็กน้อย
ก่อนจะเดินทอดน่องชมนกชมไม้กลับไปยังโรงแรมเพื่อเก็บกระเป๋า
ตลอดเวลาที่เดินเล่นอยู่ในตัวเมืองหาดใหญ่ เราสังเกตว่ามีร้านอาหารที่ดู ‘ขลัง’ ดูน่าอร่อยเยอะแยะมากมาย
ยังคุยเล่นกันกับมะแว้งเลยค่ะว่า
คิดว่าเราต้องอยู่ที่นี่สักกี่วันถึงจะชิมครบทุกร้าน
(เอาเฉพาะร้านที่น่าจะเด็ดจริงๆ นะ) แล้วก็ลงความเห็นก็ได้ว่า น่าจะต้องมีเวลาสักหนึ่งเดือนเต็มค่ะ
ยังไงคราวนี้ก็ไม่ทันแล้ว แต่คราวหน้าคงต้องเตรียมตัวยาวเลย 555
|
ทางเข้าด้านหน้าของตลาดกิมหยง |
|
ภายในตลาดมีสินค้าให้เลือกซื้อมากมาย |
|
บรรดาตึกรามสีสันสดใสภายในตัวเมืองหาดใหญ่ |
อีกเกือบชั่วโมงกว่ารถไฟจะมา
เรากับมะแว้งเดินหาซื้อของกินเพื่อนำขึ้นไปกินบนรถไฟ
ได้อาหารตามสั่งมาคนละหนึ่งกล่อง ไปนั่งๆ ยืนๆ รออยู่แถวชานชาลา เพิ่งนึกได้ค่ะว่า
“ตายละ มาหาดใหญ่แต่ยังไม่ได้ชิมไก่ทอดเลย” หันซ้ายแลขวา ใกล้เวลารถไฟจะมาแล้ว
เราสองคนหันไปเห็นแผงขายไก่ทอดอยู่ระหว่างชานชาลาอีกฝั่ง รีบวิ่งไปสั่งข้าวเหนียวไก่ทอดหนึ่งชุดใหญ่มากกไว้ในอ้อมกอด
ทันเวลาเจ้าหน้าที่ประกาศรถไฟเทียบชานชาลาพอดี พวกเราจึงรีบขนสัมภาระขึ้นไปจับจองที่นั่งตามหมายเลขที่ระบุไว้บนตั๋ว
“เป็นไงมะแว้ง ไก่อร่อยมั้ย” ไม่ต้องรอคำตอบ
แค่อ่านจากสายตาของเราก็พอรับรู้ได้ เอื้อมมือไปบิแบ่งชิ้นไก่บนหน้าตักมะแว้งมาชิม
“เค็มเกิ๊น เย็นด้วย” มะแว้งผู้ที่กินรสติดเค็มกล่าว “แต่หอมเจียวอร่อยนะ”
เรารีบปลอบ – ทำไงได้ล่ะคะ
พวกเรามัวแต่ชิมร้านนู้นร้านนี้จนลืมของดีประจำหาดใหญ่ไปสนิท
มาเจอเขาขายริมทางรถไฟแบบนี้แล้วมันจะเย็นชืดหรือไม่ถูกปากก็ไม่แปลกใจหรอกค่ะ 😅
แถมกลับมาบ้านเจอเพื่อนที่ไปเที่ยวหาดใหญ่มา
ลงรูปในโซเชียลฯ ว่า “ไก่ทอดอร่อยมาก” เราเลยสัญญากับมะแว้งว่า คราวหน้าจะต้องกลับไปกินไก่ทอดและลูกชิ้นปลาทอด(อีก)ให้จงได้!
English version click here
I think this is an informative post and it is very useful and knowledgeable. therefore. I would like to thank you for the efforts you have made in writing this article. i99bet มือถือ
ReplyDelete